Loading

 

ความหลงทะนงตน

ความหลงทะนงตน

มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ขอการสดุดียกย่องและความสันติจงมีแด่ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ฉันขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่ามุหัมมัดคือบ่าวและศาสนทูตของพระองค์

            สิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องสำคัญ เป็นบาปอันใหญ่หลวงที่ทำลายตัวตน ทำลายการงาน และมีลักษณะที่น่าตำหนิยิ่ง คือความหลงทะนงตน ท่านรอฆิบ อัล-อัศฟะฮานียฺ ได้กล่าวว่า "ความหลงทะนงตน คือการที่บุคคลหนึ่งคิดว่าเขาเหมาะสมคู่ควรกับสถานะหนึ่ง ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ได้คู่ควรกับเขาเลย บางคนกล่าวว่า คือการที่เขาลำพองในความโปรดปรานที่เขาได้รับ และรู้สึกมั่นใจในสิ่งนั้น โดยลืมผู้ให้ความโปรดปรานนั้นไป (หมายถึงอัลลอฮฺ)"

            อัลลอฮฺผู้สูงส่งได้ตรัสว่า

﴿ لَقَدۡ نَصَرَكُمُ ٱللَّهُ فِي مَوَاطِنَ كَثِيرَةٖ وَيَوۡمَ حُنَيۡنٍ إِذۡ أَعۡجَبَتۡكُمۡ كَثۡرَتُكُمۡ فَلَمۡ تُغۡنِ عَنكُمۡ شَيۡ‍ٔٗا وَضَاقَتۡ عَلَيۡكُمُ ٱلۡأَرۡضُ بِمَا رَحُبَتۡ ثُمَّ وَلَّيۡتُم مُّدۡبِرِينَ ٢٥ ﴾ ]التوبة : 25[

ความว่า “แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าแล้วในสนามรบอันมากมาย และในวันแห่งสงครามหุนัยน์ด้วย ขณะที่การมีจำนวนมากของพวกเจ้าทำให้พวกเจ้าพึงใจ แล้วมันก็มิได้อำนวยประโยชน์แก่พวกเจ้าแต่อย่างใด และแผ่นดินก็แคบแก่พวกเจ้า ทั้งๆที่มันกว้างอยู่ แล้วพวกเจ้าก็หันหลังหนี” (อัต-เตาบะฮฺ: 25)

            และอัลลอฮฺผู้สูงส่ง ยังได้ตรัสเกี่ยวกับกอรูนไว้ว่า

﴿ قَالَ إِنَّمَآ أُوتِيتُهُۥ عَلَىٰ عِلۡمٍ عِندِيٓۚ أَوَ لَمۡ يَعۡلَمۡ أَنَّ ٱللَّهَ قَدۡ أَهۡلَكَ مِن قَبۡلِهِۦ مِنَ ٱلۡقُرُونِ مَنۡ هُوَ أَشَدُّ مِنۡهُ قُوَّةٗ وَأَكۡثَرُ جَمۡعٗاۚ وَلَا يُسۡ‍َٔلُ عَن ذُنُوبِهِمُ ٱلۡمُجۡرِمُونَ ٧٨ ﴾ ]القصص : 78[

ความว่า “เขา (กอรูน) กล่าวว่า ฉันได้รับมันเพราะความรู้ของฉัน ก็เขา (กอรูน) ไม่รู้ดอกหรือว่าอัลลอฮฺได้ทรงทำลายผู้ที่มีพลังยิ่งกว่าและมีพรรคพวกมากกว่าก่อนหน้าเขาในศตวรรษก่อนๆ และบรรดาผู้กระทำความผิดจะไม่ถูกสอบถามเกี่ยวกับความผิดต่างๆ ของพวกเขาดอกหรือ?!!” (อัลเกาะศ็อศ: 78)

          อัลลอฮฺได้ตรัสอีกว่า

﴿ وَكَانَ لَهُۥ ثَمَرٞ فَقَالَ لِصَٰحِبِهِۦ وَهُوَ يُحَاوِرُهُۥٓ أَنَا۠ أَكۡثَرُ مِنكَ مَالٗا وَأَعَزُّ نَفَرٗا ٣٤ وَدَخَلَ جَنَّتَهُۥ وَهُوَ ظَالِمٞ لِّنَفۡسِهِۦ قَالَ مَآ أَظُنُّ أَن تَبِيدَ هَٰذِهِۦٓ أَبَدٗا ٣٥ ﴾  ]الكهف: 35 [

ความว่า “และเขาได้รับผลิตผล ดังนั้นเขาจึงกล่าวแก่เพื่อนของเขาขณะที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ว่า ฉันมีทรัพย์สินมากกว่าท่าน และมีบริวารมากกว่า เขาได้เข้าไปในสวนของเขาโดยที่เขาเป็นผู้อธรรมแก่ตัวเขาเอง เขากล่าวว่า ฉันไม่คิดว่าสวนนี้จะพินาศไปได้เลย” (อัล-กะฮฺฟฺ: 35)

            เมื่อใดบุคคลหนึ่งได้ลุ่มหลงในสิ่งที่เขามีอยู่ เมื่อนั้นเขาได้ลืมไปว่านั่นเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานให้แก่เขา ซึ่งผู้ให้(อัลลอฮฺ) สามารถที่จะเอามันกลับคืนได้ และเขาก็จะกลายเป็นผู้ขัดสนเหมือนที่เคยเป็นมา และปลายทางของเขาก็จะเป็นดั่งที่อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า

﴿وَأُحِيطَ بِثَمَرِهِۦ فَأَصۡبَحَ يُقَلِّبُ كَفَّيۡهِ عَلَىٰ مَآ أَنفَقَ فِيهَا وَهِيَ خَاوِيَةٌ عَلَىٰ عُرُوشِهَا وَيَقُولُ يَٰلَيۡتَنِي لَمۡ أُشۡرِكۡ بِرَبِّيٓ أَحَدٗا ٤٢ ﴾ ] الكهف: 42[

ความว่า “และผลิตผลของเขาก็ถูกทำลายหมด แล้วเขาก็ประกบฝ่ามือทั้งสองด้วยความเสียใจต่อสิ่งที่เขาได้จับจ่ายไป และมันพังพาบลงมา และเขากล่าวว่า โอ้ หากฉันไม่เอาผู้ใดมาตั้งภาคีกับพระผู้เป็นเจ้าของฉันก็คงจะดี” (อัล-กะฮฺฟฺ: 42)

            ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«بَيْنَمَا رَجُلٌ يَمْشِيْ فِيْ حُلَّةٍ تُعْجِبُهُ نَفْسُهُ ، مُرَجِّلٌ جُمَّتَهُ ، إِذْ خَسَفَ اللهُ بِهِ ، فَهُوَ يَتَجَلْجَلُ إِلَى يَوْمِ الْقِيَامَةِ» [البخاري برقم 5789، ومسلم برقم 2088]

ความว่า “ขณะที่ชายคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงามกำลังเดินอย่างโอ้อวดทะนงตน ปล่อยผมสยายประบ่า ทันใดนั้นอัลลอฮฺก็ได้ให้ธรณีสูบเขา และเขาจะถูกทรมานจนกระทั่งถึงวันกิยามะฮฺ “ (บันทึกโดย อัล-บุคอรียฺ 5789 และมุสลิม 2088)

ท่านอนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«لَوْ لَمْ تَكُوْنُوْا تُذْنِبُوْنَ ، لَخَشِيْتُ عَلَيْكُمْ مَا هُوَ أَكْبَرُ مِنْهُ : الْعُجْبَ» [رواه البزار، انظر كشف الأستار برقم 3633]

ความว่า “หากว่าพวกท่านไม่เคยก่อความผิดบาป ฉันก็ยังเกรงว่าพวกท่านจะทำสิ่งที่ร้ายแรงกว่านั้น นั่นคือ การหลงทะนงตน” (บันทึกโดยอัล-บัซซารฺ ในกัชฟุลอัสตาร เลขที่ 3633)

            ท่านอิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

« ثَلَاثٌ مُهْلِكَاتٌ : شُحٌّ مُطَاعٌ ، وَ هَوًى مُتَّبَعٌ ، وَ إِعْجَابُ الْمَرْءِ بِنَفْسِهِ »  [رواه البزار، انظر كشف الأستار برقم 80]

ความว่า “สามประการที่นำไปสู่ความพินาศคือ ความตระหนี่ถี่เหนียว การทำตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ และการหลงตัวเอง” (บันทึกโดยอัลบัซซารฺ ในกัชฟุลอัสตาร เลขที่ 80)

มีรายงานงานว่าท่านอิบนุมัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า “ความพินาศมีอยู่ในสองประการนี้ คือ ความทะนงตน และ ความท้อแท้สิ้นหวัง” (ดู มุคตะศ็อรฺ มินฮาจญ์ อัล-กอศิดีน หน้า 298-299)

ท่านอิบนุกุดามะฮฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “พึงทราบเถิด ว่าความหลงทะนงตนนั้นเป็นสาเหตุที่จะนำไปสู่ความยโสโอหัง สิ่งนี้ก่อให้เกิดผลร้ายตามมามากมายกับเพื่อนร่วมโลก ส่วนความผิดต่อผู้สร้าง (อัลลอฮฺ) นั้น ก็คือการที่ความลำพองตนในการทำตามคำสั่งใช้เกิดจากความรู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เสมือนว่าเขามีบุญคุณต่ออัลลอฮฺกับสิ่งที่เขาทำไป และหลงลืมไปว่าอันที่จริงแล้วอัลลอฮฺต่างหากที่เป็นผู้ให้ความสำเร็จแก่เขา นอกจากนี้เขาจะมองไม่เห็นข้อบกพร่องต่างๆอันจะส่งผลให้การงานเหล่านั้นสูญเปล่าและเสียไป ทั้งนี้ผู้ที่พยายามค้นหาจุดบกพร่องในการงานของตนก็คือผู้ที่เกรงว่าการงานดังกล่าวจะถูกปฏิเสธตกไป ส่วนผู้ที่มีความพึงพอใจและหลงทะนงตนนั้นจะไม่ตรวจสอบค้นหาข้อบกพร่องของตัวเอง เพราะความทะนงตนนั้นจะเกิดขึ้นกับสิ่งที่คิดว่ามีความครบถ้วนสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นความรู้หรือการกระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเขาเห็นว่าที่เขาทำนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ ณ ที่อัลลอฮฺอย่างแน่นอน ความหลงทะนงตนจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเขาอวดดีลำพองตนในสิ่งที่เขาภูมิใจ และคาดหวังผลตอบแทน ดั่งที่เขาคาดหวังการตอบรับคำร้องขอ และไม่ต้องการคำปฏิเสธ" (ดู มุคตะศ็อร มินฮาจ อัล-กอศิดีน หน้า 298-299)

            สาเหตุของการทะนงตนก็คือ ความโง่เขลาโดยแท้ ซึ่งวิธีการรักษาก็คือ ความตระหนักรู้ อันเป็นสิ่งตรงข้ามกับความโง่เขลา กล่าวคือ ตระหนักรู้ว่าสิ่งที่ส่งผลให้เขาพึงใจในตนเองนั้นเป็นความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ ที่เขาไม่อาจจะสรรหามาได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นถือเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่เขาจะภูมิใจในความกรุณา การให้เกียรติ และความโปรดปรานที่อัลลอฮฺทรงให้แก่เขา เมื่อมนุษย์ตระหนักรู้เช่นนี้แล้ว เขาจะไม่คิดว่าสิ่งต่างๆที่ได้รับเป็นผลงานของตนเอง และจะไม่หลงทะนงในตนเองอีก เพราะอัลลอฮฺคือผู้มอบความสำเร็จให้กับเขา และเมื่อเขาเปรียบเทียบกับความโปรดปรานแล้ว ก็ไม่สามารถเทียบได้กับเศษเสี้ยวของความโปรดปรานที่เขาได้รับเลย

ดังกล่าวนี้เป็นกรณีที่การงานของเขาปราศจากสิ่งที่ทำให้เกิดความบกพร่องเสื่อมเสีย และปราศจากความพลั้งเผลอ หากว่าเขาหลงลืมไป ก็ควรที่จะระวังตัว และกลัวการลงโทษกับความผิดพลาดนี้ นี่คือการรักษาอาการหลงทะนงตนโดยรวม ส่วนการรักษาอาการต่างๆ โดยละเอียดนั้นขึ้นอยู่กับสภาวะที่ต่างกันออกไปของความทะนงตน หากว่าความทะนงตนอันเนื่องมาจากกายภาพ เช่นความสวยงาม พละกำลัง ที่ทำให้บุคคลนั้นลุ่มหลงตนเอง วิธีการรักษาก็คือ ให้ครุ่นคิดถึงความสกปรกภายในตัว ในตอนแรกและตอนสุดท้าย ความสวยงามและร่างกายอันสมส่วน จะเป็นอย่างไรเมื่อได้เกลือกกับฝุ่นดินและถูกฝังอยู่ในหลุมฝังศพ เพื่อว่าเขาจะได้รู้สึกถึงความสกปรกน่ารังเกียจ

            หากว่าความทะนงตนอันเนื่องมาจากการที่มีทรัพย์สิน ลูกหลาน คนรับใช้ และญาติพี่น้องที่มากมาย วิธีแก้ก็คือ ตระหนักรู้ถึงความอ่อนแอของตน และความอ่อนแอของพวกเขา และตระหนักว่าทรัพย์สินนั้นมีผลร้ายมากมาย ไม่นานก็หมดไป ไม่มีแก่นสารใดๆ ทั้งสิ้น

            ชายหนุ่มคนหนึ่งได้เดินผ่านท่านหะสัน อัล-บัศรียฺ โดยสวมใส่เสื้อผ้าสวยงาม ดูดี ท่านหะสันได้เรียกชายหนุ่มคนนั้นและกล่าวว่า “มนุษย์นั้นมีความปลื้มปีติกับวัยหนุ่มของตน และหลงในรูปร่างลักษณะที่มี ประหนึ่งว่าหลุมศพได้ซ่อนร่างกายของท่านไว้ และดั่งว่าท่านได้พบเจอกับการงานของท่านแล้ว ท่านจงระวังรักษาหัวใจของท่านเถิด เพราะแท้จริงสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ที่จะเห็นจากบ่าวของพระองค์คือการที่พวกเขาปรับปรุงหัวใจของพวกเขา" มัสรูกได้กล่าวว่า “เพียงพอแล้วสำหรับคนที่มีความรู้ ที่เขาจะเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺ และเพียงพอแล้วสำหรับคนที่โง่เขลา ที่เขาจะทะนงในความรู้ของตน”

            มีคนหนึ่งกล่าวกับท่านหะสัน อัล-บัศรียฺ ว่า “ใครคือคนที่ชั่วร้ายที่สุด?” ท่านตอบว่า “คือคนที่เห็นตนเองเป็นคนที่ดีเลิศที่สุด” บางคนกล่าวว่า “คนโกหกนั้นอยู่ห่างไกลอย่างยิ่งจากความประเสริฐดีงาม แต่คนที่โอ้อวดมีสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่า เพราะเขาโกหกทั้งด้วยการกระทำและคำพูดของเขา แต่ทว่า คนที่หลงทะนงตนนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าคนทั้งสองประเภทดังกล่าว เพราะคนทั้งสองจำพวกนั้นมองเห็นข้อบกพร่องของตนเองและต้องการปกปิดมันไว้ แต่คนที่หลงทะนงตนจะมองไม่เห็นความผิดของตน แต่เห็นเป็นข้อดีแทนและภูมิใจกับมัน"

อิบลีสมารร้าย ได้กล่าวว่า "หากว่าท่านเอาชนะผู้คนในสามสิ่งนี้ได้ ฉันจะไม่ขออะไรอีกเลย คือเมื่อเขาหลงทะนงตน เมื่อเขารู้สึกว่าตนเองได้ปฏิบัติการงานที่มากมาย และเมื่อเขาลืมความผิดบาปของตนเอง" (ดู อัซซะรีอะฮฺ อิลา มะการิม อัช-ชะรีอะฮฺ หน้า 306-307)

            สรุป ความหลงทะนงตนมีผลเสียตามมามากมาย เป็นโรคร้ายที่ส่งผลเสียต่อหัวใจโรคหนึ่ง หากว่าผู้คนไม่รู้ทัน โรคนี้จะทำลายตัวเขา อีกทั้งยังเป็นสาเหตุที่ทำให้การงานไร้ผล รวมทั้งไม่ได้อยู่สายตาของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย

والحمد لله رب العالمين،

وصلى الله وسلم على نبينا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين.

 

 

 

 .............................................................

แปลโดย : ณัจญวา บุญมาเลิศ

ตรวจทานโดย : อัสรัน นิยมเดชา

คัดลอกจาก http://IslamHouse.com/408000

 

 

 

 

 

Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).