Loading

 

อิสลามกับสถาบันครอบครัว

ครอบครัวเป็นแหล่งกำเนิดแรกของมนุษย์ และยังเป็นแหล่งกำเนิดของอารยธรรมต่างๆด้วย ดังนั้น เราต้องศึกษาถึงคำสอนของหลักศาสนบัญญัติที่เกี่ยวกับครอบครัว ครอบครัวประกอบด้วยสามี ภรรยาและลูก คำสั่งของอิสลามเกี่ยวกับครอบครัวนั้นชัดเจน กล่าวคือ อิสลามกำหนดให้ผู้ชายเป็นผู้รับผิดชอบในการทำงานและจัดหาสิ่งจำเป็นต่อการ ดำรงชีวิตให้แก่ภรรยาและลูก และต้องคุ้มครองคนในครอบครัวให้พ้นจากความชั่วช้าเลวทรามต่างๆ ส่วนผู้หญิงได้กำหนดหน้าที่สำหรับการดูแลบ้าน อบรมและเลี้ยงดูลูก จัดหาความสะดวกสบายและความพึงพอใจให้แก่สามีและลูก หน้าที่ของลูกคือการเคารพและเชื่อฟังพ่อแม่ และเมื่อเติบโตแล้วจะต้องรับใช้พ่อแม่และจัดหาสิ่งจำเป็นให้แก่ท่านทั้งสอง เพื่อให้ครอบครัวเป็นสถาบันที่มีการจัดการอย่างดีและมีระเบียบวินัย อิสลามได้วางมาตรการไว้ดังต่อไปนี้


(1) สามีได้ถูกกำหนดให้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าครอบครัว ไม่มีสถาบันใดที่สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นถ้าหากไม่มีหัวหน้าจัดการ เป็นไปไม่ได้ที่มหาวิทยาลัยจะไม่มีอธิการบดี หรือเมืองหนึ่งเมืองใดจะไม่มีผู้ปกครอง ถ้าหากไม่มีใครควบคุมสถาบันความปั่นป่วนวุ่นวายก็จะติดตามมา หากทุกคนในครอบครัวต่างคนต่างทำตามใจของตัวเอง ครอบครัวนั้นคงจะไม่มีอะไรนอกจากความปั่นป่วนวุ่นวาย ถ้าสามีไปทางหนึ่ง ภรรยาไปอีกทางหนึ่ง อนาคตของลูกจะต้องถูกทำลาย ในครอบครัวจะต้องมีคนหนึ่งเป็นหัวหน้าเพื่อรักษาระเบียบวินัย อิสลามจึงได้มอบตำแหน่งนี้ให้แก่สามี ด้วยวิธีการนี้เองที่ทำให้ครอบครัวเป็นหน่วยแรกที่มีระเบียบวินัยของ อารยธรรมและเป็นแบบจำลองสำหรับสังคมใหญ่


(2) หัว หน้าครอบครัวจะต้องมีความรับผิดชอบ คือ มีหน้าที่ทำงานและทำทุกสิ่งที่เป็นเรื่องนอกบ้านเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบ ครัว เพื่อที่ผู้หญิงจะได้สามารถอุทิศเวลาอย่างเต็มที่ในการดูแลงานบ้านและเลี้ยง ดูลูก ซึ่งเป็นอนาคตของสังคม ผู้หญิงได้ถูกสั่งให้อยู่ในบ้านและรับผิดชอบงานที่ต้องทำ อิสลามไม่ต้องการเก็บภาษีซ้อนจากผู้หญิง การเลี้ยงดูบุตรและดูแลงานบ้านแล้วยังต้องออกไปทำงานหารายได้นอกบ้านอีกนั้น เป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรมอย่างแน่นอน แต่มิได้หมายความว่าผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกบ้านเลย หากจำเป็นเธอก็สามารถออกนอกบ้านได้


กฏหมาย ได้กำหนดให้บ้านเป็นสถานที่ทำงานพิเศษและได้ย้ำว่าผู้หญิงจะต้องเอาใจใส่ใน การปรับปรุงชีวิตที่บ้านให้ดีขึ้น เมื่อใดก็ตามที่ต้องออกนอกบ้าน เธอจะต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบที่ได้วางไว้ตามหลักการทางศาสนา


ครอบครัวได้แผ่ขยายกว้างออกไปโดยความสัมพันธ์ทางสายเลือด การรวมสมาชิก การรักษาความสัมพันธ์ให้มีความใกล้ชิดและอบอุ่น การทำให้คนในครอบครัวสนับสนุนซึ่งกันและกัน เข้มแข็งและมีความพึงพอใจร่วมกัน
กฏหมายอิสลามได้กำหนดกฏระเบียบพื้นฐานที่สอดคล้องกับยุคสมัยซึ่งสรุปได้ดังนี้


1) การแต่งงานระหว่างบุคคลที่มีความใกล้ชิดกันโดยธรรมชาติและโดยสภาพแวดล้อม เป็นที่ต้องห้าม เช่น การแต่งงานระหว่างแม่กับลูกชาย พ่อกับลูกสาว พ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง แม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยง พี่ชายน้องชายกับพี่สาวน้องสาว พี่เลี้ยงน้องเลี้ยงผู้ชายกับพี่เลี้ยงน้องเลี้ยงผู้หญิง ลุงกับหลานสาว น้า (พี่สาวน้องสาวของพ่อหรือของแม่) กับหลานชาย แม่ยายกับลูกเขย และพ่อผัวกับลูกสะใภ้ การห้ามนี้จะทำให้ความผูกพันในครอบครัวมีความแน่นแฟ้นและทำให้ความสัมพันธ์ ระหว่างเครือญาติเหล่านี้สะอาดบริสุทธิ์และไม่มีสิ่งแปดเปื้อน คนเหล่านี้สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีข้อจำกัดและจะรักใคร่กลมเกลียว กัน

2) การแต่งงานระหว่างครอบครัวซึ่งเป็นญาติกันสามารถทำได้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น การผูกพันกันทางการแต่งงานระหว่างสองครอบครัวที่รู้จักกันและต่างรู้นิสัยใจ คอและขนบธรรมเนียมซึ่งกันและกันนั้นโดยทั่วไปแล้วเป็นการผูกพันที่ประสบผล สำเร็จ ดังนั้น อิสลามจึงไม่เพียงแต่จะอนุญาตเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนและชอบความสัมพันธ์กับครอบครัวที่เป็นเครือญาติมากกว่าครอบ ครัวที่ไม่รู้จักกันเลย

3) ในกลุ่มของครอบครัวที่เป็นเครือญาตินั้น จะมีทั้งคนรวยและคนจน คนฐานะดีและคนที่ด้อยกว่า หลักการอิสลามกำหนดว่าญาติของมนุษย์นั้นมีสิทธิที่ยิ่งใหญ่เหนือเขา มุสลิมถูกสั่งให้เคารพผูกพันนี้ในทุกทางที่เป็นไปได้ การไม่ซื่อสัตย์ต่อญาติและการไม่ใส่ใจต่อสิทธิของพวกเขาถือเป็นบาปใหญ่และ พระเจ้าไม่อนุญาต ถ้าหากญาติยากจนหรือได้รับความเดือดร้อนก็เป็นหน้าที่ของญาติที่ร่ำรวยและมี ฐานะต้องให้ความช่วยเหลือ การคำนึงถึงสิทธิของเครือญาติได้ถูกสั่งไว้ในเรื่องของซะกาตและการทำทาน อื่นๆ

4) กฎหมายเกี่ยวกับมรดกได้ถูกกำหนดไว้ในลักษณะที่ทรัพย์สินผู้ตาย ไม่สามารถที่จะไปรวมไว้ในที่หนึ่งที่ใด จะต้องถูกนำมาแจกจ่ายทั้งหมด ผู้ที่ได้รับส่วนแบ่ง ลูกชาย ลูกสาว สามี พ่อ แม่ พี่ชายน้องชายและพี่สาวน้องสาวเป็นญาติใกล้ชิดที่สุด ที่จะได้รับส่วนแบ่งก่อนเป็นลำดับแรก แต่ถ้าหากไม่มีญาติใกล้ชิด ส่วนแบ่งของมรดกจะถูกจัดแบ่งให้แก่ญาติใกล้ชิดลำดับถัดไป


ดังนั้น หลังจากที่ใครคนหนึ่งคนใดเสียชีวิตลง ทรัพย์สินจะถูกแบ่ง อิสลามจึงทำลายการสะสมความมั่งคั่งไว้แต่เพียงผู้เดียวแบบทุนนิยม กฏหมาย ของอิสลามเป็นกฏหมายที่ดีงาม และขณะนี้สังคมอื่นกำลังใช้กฏหมายอิสลามในการดำเนินชีวิต แต่เรื่องน่าเศร้าคือ มุสลิมกลับไม่รู้ถึงศักยภาพของกฏหมายอิสลามและบางคนกลับหลีกเหลี่ยงไม่ ปฏิบัติตามเพราะความโง่เขลา ในหลายทวีป ลูกสาวได้ถูกจำกัดสิทธิ์มิให้มีส่วนในมรดก เป็นความอยุติธรรมที่เห็นได้ชัด และเป็นการละเมิดคำสั่งของอัลกุรอาน


ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเพื่อนบ้านในท้องถิ่นหมู่บ้านหรือเมืองเดียวกัน ซึ่งจะติดต่อสัมพันธ์ด้วยกันอย่างต่อเนื่อง อิสลามได้สั่งให้มุสลิมปฎิบัติความสัมพันธ์อย่างซื่อตรง เท่าเทียมกันและเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน อิสลามได้สั่งบรรดาผู้ศรัทธาให้เคารพความรู้สึกของคนอื่น หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาหยาบคายและสร้างความเข้าใจผิด ช่วยเหลือคนยากไร้และคนพิการ เห็นใจผู้ประสบความทุกข์ยาก ดูแลเด็กกำพร้าและแม่ม่าย ให้อาหารแก่ผู้หิวโหย ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ขัดสนและช่วยคนตกงานให้ได้มีงานทำ ซึ่งการทำความดีในลักษณะเช่นนี้ครอบคลุมทั้งผู้เป็นมุสลิมและชนต่างศาสนิก


อิสลามกล่าวว่า ถ้าหากพระเจ้าประทานความมั่งคั่งร่ำรวยให้แก่ท่านจงอย่าใช้มันอย่างฟุ่มเฟือย ห้ามการใช้ภาชนะที่ทำมาจากทองและเงิน ห้ามการใส่ผ้าไหมและใช้จ่ายเงินทองอย่างไร้สาระ คำสอนของอิสลามวางอยู่บนหลักการที่ไม่ได้รับอนุญาตให้นำความมั่งคั่งไปใช้ อย่างไม่เกิดประโยชน์ มันเป็นเรื่องโหดร้ายและไม่เป็นธรรมที่เงินสามารถเลี้ยงดูคนอดอยากมากมาย จะต้องมาถูกทิ้งขว้างในการโอ้อวดอย่างไร้สาระ อิสลามไม่ได้จำกัดสิทธิ์ในความมั่งคั่งและความเป็นเจ้าของ สิ่งที่มนุษย์หามาได้หรือได้รับมรดกตกทอดมานั้นเป็นทรัพย์สินของเขา แต่อิสลามยอมรับสิทธิของเขาและอนุญาตให้มีความสุขในทรัพย์นั้นใช้มันอย่างดี ที่สุด นอกจากนี้แล้วยังได้กำหนดว่า ถ้าหากคุณมีความมั่งคั่ง คุณสามารถจะสวมใส่เสื้อผ้าดีๆ มีบ้านที่น่าอยู่และมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสมฐานะ แต่สิ่งที่อิสลามต้องการคือในการดำเนินชีวิตเช่นนั้น ก็อย่าทำให้ความเป็นมนุษย์ต้องสูญเสียไป


สิ่งที่อิสลามไม่อนุมัติคือการถือตัวเองเป็นใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงสวัสดิการและความเป็นอยู่ที่ดีของคนอื่น ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เกิดการหลงตัวเอง อิสลามต้องการให้สังคมทั้งหมดเจริญมั่งคั่ง ไม่ไช่แต่เฉพาะคนเพียงไม่กี่คน หรือตระกูลเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้น อิสลามต้องการปลูกฝังความสำนึกทางสังคมขึ้นในจิตใจของผู้ปฎิบัติตามและแนะนำ พวกเขาให้ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย หลีกเลี่ยงความสิ้นเปลือง และในขณะตอบสนองความต้องการของตนเองนั้น ก็ควรจะคำนึงถึงความจำเป็นและความต้องการของเครือญาติใกล้ชิด เพื่อน เพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมโลกของเขาด้วย นี่คือสิ่งที่อิสลามต้องการให้เกิดขึ้น

อิสลามกำหนดให้มุสลิมต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กำชับกันในเรื่องความดีและห้ามปรามความชั่ว และคอยสอดส่องดูแลมิให้ความชั่วร้ายเข้ามาในสังคมของตน คือ


1) เพื่อรักษาชีวิตทางศีลธรรมและการป้องกันสังคมให้เกิดการพัฒนาไปด้วยดี การอยู่ร่วมปะปนกันระหว่างชายและหญิงเป็นสิ่งที่ต้องห้าม เว้นแต่ภายใต้กฎกติกาที่อนุญาต โดยหลักศาสนบัญญัติ ได้กำหนดหน้าที่การงานระหว่างเพศทั้งสองไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ผู้หญิงควรที่จะปฏิบัติงานบ้านงานเรือนและผู้ชายควรจะใส่ใจต่อการทำงานทางเศรษฐกิจและสังคม


พร้อมกันนี้ ผู้ชายถูกสั่งให้ลดสายตาลงต่ำและไม่ให้มองผู้หญิง ถ้าหากใครบางคนมองเห็นผู้หญิงโดยบังเอิญ เขาจะต้องรีบเบนสายตาหนี และผู้หญิงถูกกำหนดให้แต่งกายอย่างมิดชิด การเปิดเผยอวัยวะที่ต้องปกปิดและเครื่องประดับถือเป็นบาปใหญ่และเป็นการ กระทำที่น่าประณามเป็นอย่างยิ่ง การพยายามที่จะมองเพศตรงข้ามถือเป็นความผิดและการใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งบาปกว่า


ทั้งชายและหญิงมี หน้าที่จะต้องดูแลศีลธรรมของตนเองและป้องกันจิตวิญญาณของตนให้ปลอดพ้นจาก มลทิน การแต่งงานเป็นรูปแบบที่เหมาะสมต่อความสัมพันธ์ทางเพศและห้ามหรือแม้แต่จะ คิดถึงเรื่องการมีสิทธิ์พิเศษทางเพศใดๆ ทั้งสิ้น ความคิดและจินตนาการจะต้องสะอาดบริสุทธิ์


2) ได้มีการสั่งให้มีการสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม ผู้ชายจะต้องไม่เปิดเผยร่างกายของเขาตั้งแต่สะดือไปจนถึงหัวเข่า และผู้หญิงต้องไม่เปิดเผยเรือนร่างส่วนใดยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือให้แก่ผู้ใดนอกจากสามีและญาติที่ใกล้ชิดของเธอ การปกปิดเป็นหน้าที่ทางศาสนาของผู้ชายและผู้หญิงทุกคน วัตถุประสงค์เพื่อที่จะปลูกฝังสำนึกแห่งความสงบเสงี่ยม และความบริสุทธิ์ให้แก่มุสลิม และเพื่อที่จะทำลายการผิดศีลธรรม


3) อิสลามไม่ยอมรับการพักผ่อนหย่อนใจ การสนุกสนาน บันเทิงเริงรมย์ที่กระตุ้นอารมณ์ทางเพศและทำลายหลักการแห่งศีลธรรม เพราะจะสิ้นเปลืองเวลา เงินทองและพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ อีกทั้งเป็นการทำลายโครงสร้างทางศีลธรรมของสังคม เป็นต้นเหตุของอบายมุขและอาชญากรรม


การพักผ่อนหย่อนใจเป็นสิ่งจำเป็น เป็นสิ่งที่จะกระตุ้นกิจกรรมให้ดำเนินต่อไป เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตเหมือนกับน้ำและอากาศ เราจึงต้องพักผ่อนหย่อนใจหลังการทำงานหนัก แต่จะต้องเป็นการพักผ่อนที่ทำให้ความคิดสดชื่นและสร้างความมีชีวิตชีวาให้แก่จิตใจ มิใช่ทำให้จิตใจตกต่ำ การ บันเทิงที่ไร้สาระและการผิดศีลธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ขัดต่อการพักผ่อน ถึงแม้ว่าจะทำให้เกิดความสะใจในอารมณ์ แต่ผลที่มีต่อจิตใจและศีลธรรมนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัว สิ่งเหล่านี้อิสลามไม่สามารถที่จะเกิดได้ในสังคม


4) ป้องกันเอกภาพและความเป็นปึกแผ่นของสังคม บรรดาผู้ศรัทธาได้ถูกสั่งให้หลีกเลี่ยงการเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน การแตกแยกทางสังคมและการแบ่งแยกเป็นพวกเป็นเหล่า และได้สั่งให้แก้ไขความแตกต่างและความขัดแย้งกันตามหลักการที่ได้วางไว้ใน คัมภีร์อัลกุรอานและแบบอย่างของนะบีมุฮัมมัด และถ้าไม่สามารถที่จะตกลงกันได้ ก็ควรจะลืมความขัดแย้งนั้นเสียปล่อยให้มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพระองค์ แทนที่จะมาทะเลาะเบาะแว้งและต่อสู้กันเอง ส่วนในเรื่องของสวัสดิการภายในสังคม จะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เชื่อฟังบรรดาผู้นำและหลีกเลี่ยงการโต้เถียงกัน ความสับสนวุ่มวายและการแตกแยกกันด้วยเรื่องเล็กน้อยเป็นบ่อเกิดแห่งความ อ่อนแอของสังคม สิ่งเหล่านี้จะต้องถูกขจัดให้หมดไป


5) อิสลามถือว่าความรู้และวิทยาการต่างๆ คือมรดกร่วมกันของมนุษยชาติและมุสลิมมีเสรีภาพอย่างเต็มที่ที่จะเรียนรู้และ นำมันมาใช้ประโยชน์ตามความสามารถ แต่อิสลามห้ามมุสลิมลอกเลียนแบบวิถีการดำรงชีวิตของคนอื่น จิตวิทยา แห่งการลอกเลียนแบบแนะนำว่าการเลียนแบบนั้นเกิดขึ้นมาจากความรู้สึกว่าตัว เองต่ำต้อยด้อยกว่าคนอื่น และผลสุดท้ายจะสร้างความรู้สึกของผู้พ่ายแพ้ให้เกิดขึ้น


การลอกเลียนวัฒนธรรมของคนอื่นนั้นสร้างความเสียหายให้แก่สังคม ทำลายพลังภายในสังคม ทำให้วิสัยทัศน์พร่ามัว ทำลายความสามารถของคนในชาติ ก่อให้เกิดความรู้สึกต่ำต้อยและค่อยๆ ดูดซึมต้นน้ำแห่งวัฒนธรรมให้หมดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าที่ปฏิเสธศาสนา บูชาวัตถุและอารมณ์ใฝ่ต่ำ

ความสัมพันธ์ของมุสลิมกับชนต่างศาสนิก บรรดาผู้ศรัทธาได้ถูกสั่งมิให้เป็นคนใจแคบ มิให้กล่าวร้ายหรือใช้คำพูดในทางที่เสียหายต่อผู้นำทางศาสนาหรือนักบวชของ ผู้ที่มิใช่มุสลิม และจะต้องไม่พูดสิ่งใดที่เป็นการดูถูกเกี่ยวกับศาสนาของผู้อื่น พวกเขาได้ถูกสั่งมิให้ก่อการพิพาทกับศาสนิกอื่นโดยไม่จำเป็น ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติและเป็นมิตรต่อกัน มุสลิมจะต้องรักษามิตรภาพและปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยใจเป็นธรรม

ด้วยคำสั่งของอิสลาม ทำให้เรามีความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ มีความสุภาพ ส่วนกิริยามารยาทที่ไม่ดี ความประพฤติที่เลวทราม การสร้างความเดือดร้อน การกดขี่และความใจแคบเป็นสิ่งที่ขัดต่อเจตนารมณ์แห่งอิสลาม มุสลิมถูกกำเนิดมาเพื่อที่จะเป็นสัญลักษณ์ของความดี เกียรติยศและความมีมนุษยธรรม มุสลิมจะต้องชนะใจผู้คนด้วยลักษณะนิสัยและตัวอย่างที่ดี ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เขาจะสามารถเป็นทูตที่แท้จริงของอิสลามได้

 


เรียบเรียงโดย อ.มัสลัน มาหะมะ


Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).