Loading

 

อิสลามกับการท้าทายแห่งยุคสมัย

บทนำ  เมื่อบรรดามาลาอีกะห์ได้รับรู้ว่าอัลลอฮจะทรงสร้างคอลีฟะห์ คือมนุษย์ขึ้นมาเพื่อเป็นผู้แทนของพระองค์ในโลกนี้พวกเขาก็กล่าวว่าพระองค์จะทรงสร้างผู้ซึ่งจะก่อให้เกิดการบ่อนทำลายและการหลั่งเลือดบนพื้นพิภพกระนั้นหรือ อย่างไรก็ตามอัลลอฮได้ทรงยืนยันว่าพระองค์ทรงรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้(อัลบะเกาะเราะห์:30)
หลังจากมนุษย์ถูกส่งมาใช้ชีวิตในโลกนี้พวกเขาก็ได้ถูกแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มต่างๆมากมายซึ่งโดยภาพรวมแล้วพอที่จะจำแนกออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ 2 กลุ่มคือ
1. กลุ่มชนที่ได้รับทางนำ (ฮิดายะฮ) จากอัลลอฮให้ลุกขึ้นมาสร้างสังคม พัฒนาสังคมให้เป็นสังคมที่ยุติธรรมมีความเจริญรุ่งเรือง และสงบสุขพร้อมทั้งได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮตามที่อัลลอฮกล่าวในอัลกุรอานว่า ???? ???? ??? ???? ความว่า “รัฐของสู่เจ้าเป็นรัฐที่สมบูรณ์และผู้อภิบาลของเจ้าเป็นผู้ทรงอภัยยิ่ง” ชนกลุ่มนี้ประกอบด้วยบรรดาศาสนฑูต (รอซูล) และผู้ปฏิบัติตามรอซูลในยุคต่าง ๆ
2.กลุ่มชนที่ต่อต้านบรรดารอซูลและผู้ปฏิเสธรอซูลในทุกยุคทุกสมัย โดยที่ความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างกลุ่มชนที่หนึ่งกับกลุ่มชนที่สองนี้ จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อกลุ่มชนกลุ่มแรกได้รับชัยชนะและได้สร้างสังคมตามแนวทางแห่งการชี้นำจากพระผู้เป็นเจ้า แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปผู้ปฏิบัติตามรอซูลมักจะหลงลืมทำให้ฝ่ายต่อต้านมีอำนาจขึ้นมา ดังนั้นอัลลอฮจึงส่งรอซูลท่านอื่นลงมาเพื่อนำระบบสังคมใหม่มาพัฒนาสังคมเพื่อความเหมาะสมกับพัฒนาการด้านวัฒนธรรมของมนุษยชาติในยุคนั้นๆซึ่งการนำระบบใหม่ของท่านรอซูลนั้นจะได้รับการต่อต้านจากผู้คัดค้านทุกครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้อัลลอฮกล่าวในอัลกุรอาน ซูเราะห์อัลฟุรกอน อายาตที่ 31ว่า


?????? ????? ??? ??? ???? ?? ???????? ???? ???? ???????????

ความว่า “และเช่นเดียวกันเราได้กำหนดให้นบีทุกท่านมีศัตรูจากผู้ประพฤติชั่ว/กระทำ บาป และเพียงพอแล้วสำหรับสู่เจ้ามีองค์อภิบาลของเจ้าเป็นผู้นำและให้ความช่วยเหลือ”

ลักษณะการท้าทายจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปพร้อม ๆ กับสังคมก็มีการพัฒนาไปด้วย จนถึงยุคสุดท้ายอัลลอฮก็ส่งรอซูลท่านสุดท้าย คือท่านมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เพื่อนำระบบสังคมใหม่มาสถาปนาสังคมอีกครั้งหนึ่งและระบบใหม่นี้เป็นระบบที่สมบูรณ์และครอบคลุม (????? ?????) บังคับใช้ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับอนุมัติจนกระทั่งวาระสุดท้ายของโลกมนุษย์ ระบบใหม่นี้เรียกว่า อัลอิสลาม ซึ่งเป็นระบบแห่งการสร้างสรรค์ที่มีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจนในการสถาปนาความเมตตาแก่ชาวโลกบนพื้นฐานของความยุติธรรม เสมอภาพ และภราดรภาพตามอุดมการณ์ หลักการและคุณธรรมอันเป็นความใฝ่ฝันของมนุษย์ทุกคน
ท่านรอซูลมุหัมหมัดได้ประสบความสำเร็จในการนำอิสลามสู่สังคมอาหรับและความสำเร็จเหล่านั้นได้รับการสานต่อโดยบรรดาซอฮาบะห์ของท่านและบรรดาผู้ปฎิบัติตามอิสลามในยุคต่างๆจนกระทั้งอิสลามได้รับการตอบรับจากประชาชาติต่างๆทั่วโลกอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบันแม้จะดำรงอยู่ภายใต้การท้าทายแห่งยุคสมัยอย่างต่อเนื่องมาตลอดก็ตาม
รูปแบบการท้าทายมีความหลากหลายและรอบด้านตั้งแต่การเจรจาจนกระทั้งการก่อสงครามทั้งด้วยอาวุธ สงครามทางความคิดและสงความทางวัฒนธรรม ซึ่งหลายต่อหลายครั้งที่พวกตะวันตกประสบความล้มเหลว พ่ายแพ้ในสงครามครูเสดนานถึงเกือบ 2 ศตวรรษ ที่พวกเขาพยายามวางแผนทำลายล้างอิสลาม กระทั่งพวกเขามีการค้นคว้าศึกษาวิจัยอย่างละเอียดลออเพื่อหาแนวทางทำลายล้างอิสลามและประชาชาติมุสลิมในการศึกษาดังกล่าวพวกเขาประสบความสำเร็จในการวางแผนที่รัดกุม ขณะที่พวกเขาได้ทุ่มเทด้วยความมั่นใจและเป็นการปฏิบัติตามแผนที่พวกเขาได้วางไว้
ท่านอาบูมุญาฮิดได้ศึกษาค้นคว้าแผนการทำลายล้างอิสลามและประชาชาติมุสลิมตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมาปรากฏว่ามีแผนการต่างๆถูกวางขึ้นมาและได้มีการนำไปปฎิบัติการซึ่งพอที่จะประมวลได้ 10 แผนการดังนี้คือ

1. แผนการล้มล้างการปกครองโดยระบอบอิสลาม
2. แผนการลบล้างอัลกุรอ่าน
3. แผนการทำลายระบบจริยธรรม ความคิด ความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมกับพระเจ้าและ
การปล่อยพวกเขาไปตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ
4. แผนการทำลายเอกภาพมุสลิม
5. แผนการสร้างความเคลือบแคลงแก่มุสลิมต่อศาสนาของพวกเขา
6. แผนการทำลายเอกภาพของโลกอาหรับ
7. แผนการสร้างรัฐเผด็จการในโลกอาหรับ
8. แผนการแยกมุสลิมออกจากการครอบครองอุตสาหกรรม และมอมเมาสินค้าจาก
ตะวันตก
9. แผนการกำจัดบรรดานักคิดอิสลาม และ ทำลายขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชาติ
มุสลิมให้สิ้นสุดลง
10. แผนการทำลายสตรีและขยายสังคมเสรี


สาเหตุของสงคราม
มีทรรศนะต่างๆ หลายทรรศนะที่เราสามารถค้นหาจากประวัติศาสตร์ถึงสาเหตุของสงครามนี้ ทำไมที่พวกเขา (ผู้ปฏิเสธ) จึงต้องทุ่มเทอย่างยิ่งยวดในการต่อสู้กับอิสลาม? เพราะเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุผลทางการทหารซึ่งพวกเขากำลังจะได้ยึดจุดยุทธศาสตร์หรือเพราะเหตุผลทางการค้า
หนังสือประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยฝ่ายอาณานิคม หรือนักบูรพาคดี หรือนักเขียนในเครือประเทศที่เป็นอาณานิคมเอง ที่ได้รับการศึกษาจากชาติตะวันตก ส่วนใหญ่มักจะเน้นในเหตุผลทางด้านการค้าเป็นเหตุผลหลัก และหนังสือเหล่านี้แหละที่ถูกนำไปบรรจุในการศึกษาประวัติศาสตร์ในโรงเรียน สถาบันการศึกษา โดยธาตุแท้แล้ว เหตุผลทางประวัติศาสตร์นั้นเป็นเหตุผลจอมปลอมทั้งสิ้น มันมีเป้าหมายเพื่อตบตาประชาชนในอาณานิคมของตนเองให้เข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้ มาเพื่อเป็นศัตรู หลังจากที่มีการศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบแล้วพบว่าข้ออ้างดังกล่าวขัดแย้งกับ ความเป็นจริงทุกประการ จากการศึกษาของนักประวัติศาสตร์ที่มีความเป็นธรรมปรากฏว่าการต่อสู้ดังกล่าวนั้นเกิดจากเหตุผลทางศาสนามิใช่เหตุผลทางการเมือง หรือเหตุผลทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด หลักฐานทางประวิติศาสตร์ชิ้นแรกที่เราหยิบยกขึ้นมาได้คือ บทเพลงปลุกใจของชาวอิตาลี ซึ่งมีเนื้อหา ดังนี้

 

 

โอ้มารดา...
จงขอพรเถิด อย่าได้ร้องให้เลย
แต่จงหัวเราะและจงมองเถิด
แม่ไม่รู้หรือว่าอิตาลี ได้เรียกร้องฉัน
ฉันจะไปตริโปลี
ด้วยความสนุกสนานเบิกบานใจ
มาตรแม้นว่าฉันจะได้ถวายเลือดของฉัน เพื่อทำลายล้างอิสลาม
ประชาชาติที่ถูกสาปแช่ง
และเพื่อต่อสู้กับศาสนาอิสลาม
ฉันจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง เพื่อลบล้างอัลกุรอ่าน
หากมีคนถามแม่ว่า ทำไมไม่เสียใจในการจากไปของฉัน
ก็จงตอบเขาไปเถิดว่า เขาจากไปเพื่อต่อสู้กับอิสลาม
โอ้...มารดา เสียงกลองดังขึ้นแล้ว...
มารดาไม่ได้กลิ่นคาวของสงครามดอกหรือ?
โอ้มารดา...
ให้ฉันได้โอบกอดมารดาเถิดและให้ฉัดได้ไปเดี๋ยวนี้เถิด...
นี่คือบทเพลงด้วยเสียงกังวาน เพื่อปลุกกำลังใจกองทัพที่เตรียมพร้อมเพื่อสู่สมรภูมิครูเสด นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอื่น ๆ ที่ยืนยันถึงการต่อสู้ระหว่างตะวันตกกับอิสลาม คือคำปราศรัยของผู้นำของเขาเอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา คือ ยูเจน รุสโต เขาได้ยืนยันในการปราศรัยของเขาว่า “เราจะต้องมีความสำนึกอยู่เสมอว่า ความขัดแย้งระหว่างเรากับโลกอาหรับไม่ใช่เป็นความขัดแย้งระหว่างคนกับประเทศเท่านั้น แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างอิสลามกับคริสต์ ความขัดแย้งอันนี้เกิดมาช้านานแล้ว ตั้งแต่สมัยกลางจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เพียงวิธีการเท่านั้นที่แตกต่างกัน...” “เป้าหมายของการล่าอาณานิคมในตะวันออกนั้นก็เพื่อทำลายล้างอิสลามและเพื่อก่อตั้งประเทศอิสราเอล เป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีวิธีการอื่นๆ อีกแล้วนอกจากการทำสงครามครูเสดให้ดำเนินต่อไป...” อดีตรัฐมนตรีบริติชที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง คือ มร.แกลดสโตน เคยพูดว่า “การทำลายอิสลามเป็นงานที่ต้องกระทำ”

บรรณาธิการนิตยสาร อัลอะอฺลามุลอิสลามีย์ ได้เขียนว่า “โลกคริสเตียน แม้พวกเขาจะมีพื้นฐานและชาติพันธ์ที่แตกต่างกัน แต่พวกเขา คือ ศัตรูตัวยงที่คอยขัดขวางและทำสงครามกับโลกตะวันออกโดยเฉพาะอิสลาม ประเทศยิวทุกประเทศได้มีข้อตกลงร่วมกันในการที่จะโค่นล้มอิสลาม ในทุกวิถีทางที่พวกเขากระทำได้”
พวกเขาเหล่านั้นมองอิสลามในแง่ความเป็นศัตรูตลอดเวลา จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา อคติต่ออิสลาม พวกเขาได้ตกลงกันเป็นปากเสียงเดียวกันที่จะทำลายล้างอิสลามและประชาชาติมุสลิม ซึ่งตรงกับที่อัลลอฮฺได้กล่าวว่า "และชาวยิวและชาวคริสต์นั่น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮฺเท่านั้น คือ คำแนะนำ แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้" (อัลบะกอเราะ : 120)
การสมาคมและการช่วยเหลือร่วมมือกันทำงานของพวกเขามีความกระชับแน่นมาก เราสามารถเห็นตัวอย่างจากสถานการณ์ของประเทศฮอลแลนด์ ยึดครองประเทศอินโดนีเซีย มันสมเหตุสมผลหรือไม่ที่ประเทศยากจนอย่างฮอลแลนด์ซึ่งอยู่คนละทวีป แต่สามารถปกครองคนหนึ่งร้อยล้านคนที่กระจัดกระจายอยู่ตามหมู่เกาะนับร้อยนับพัน? และฮอลแลนด์สามารถกระทำได้โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือทางกำลังอากาศจากอังกฤษ และความช่วยเหลือทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริการได้หรือ? และเราสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อฮอลแลนด์อ่อนแอไม่สามารถเอาชนะจิตใจประชาชนได้ เพราะการต่อต้านและการลุกฮือของประชาชนเจ้าของประเทศ อังกฤษจึงต้องยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือทันที เช่น เดียวกันเมื่ออิสราเอลไม่สามารถเผชิญหน้ากับโลกอาหรับ สามอภิมหาอำนาจใหญ่ในสมัยนั้น ได้แก่ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ยื่นมือให้ความช่วยเหลือทันที รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนหนึ่ง ชื่อ มาเซีย บิโด ได้ให้คำยืนยันต่อการทำศึกที่โมร็อกโคว่า “นั่นคือสงครามระหว่างไม้กางเขนกับพระจันทร์เสี้ยว”
ในขณะเดียวกัน คริสเตียน ยิว คอมมิวนิสต์ ต่างก็ร่วมกันกินโต๊ะอิสลาม คอลัมน์หนึ่งในหนังสือพิมพ์ของคอมมิวนิสต์ ชื่อ กิซิล ออรบากิสตาน (KIZIL ORBAKISTAN) ฉบับที่ 22 ปี 1952 ได้เขียนว่า “เป็นไปไม่ได้ที่คำสอนของคอมมิวนิสต์ยืนหยัดอยู่ได้ จนกว่าอิสลามจะถูกทำลายถึงรากเหง้าของมัน” มิชชั่นนารีคริสเตียนคนหนึ่งกล่าวว่า “พลังที่แฝงอยู่ในตัวของอิสลามนั้นมันเป็นอุปสรรคที่หนาเตอะต่อการขยายตัว ของคริสเตียน”

แผนการที่ 1 การล้มล้างการปกครองโดยระบอบอิสลาม

ตุรกีเป็นประเทศอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งนับว่าเป็นมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดมหาอำนาจหนึ่งของโลกเลยที่เดียวที่ประวัติศาสตร์เคยรู้จัก ชื่อผู้ปกครองประเทศนี้ขึ้นต้นด้วยคอลีฟะฮฺ (KHALIFAH) เป็นที่รู้จักกันดีที่ปกครองแหลมอาหรับ อียิปต์ ชาม อิรัค และแอฟริกาเหนือ คริสตศตวรรษที่ 16 นั้น พอที่จะเป็นสักขีพยานต่อมหาอำนาจอิสลาม ที่เข็มแข็งและเป็นเอกภาพ ซึ่งเคยเขย่าโลกตะวันตกมาแล้ว และเคยขยายอาณาเขตถึงประเทศต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบัน คือ ประเทศโรมาเนีย บัลกาเรีย กรีซ ยูโกสลาเวีย อัลบาเนียและฮังการี ในขณะเดียวกันทะเลดำและทะเลกลางก็ตกเป็นของอิสลาม ชื่อคอลีฟะฮฺราชวงศ์อุษมานียะฮฺในสมัยนั้นเป็นที่เกรงขามของโลกตะวันตก และชาวคริสเตียนตะวันตก นี่คือเหตุผลหลักที่ผลักดันให้พวกตะวันตกร่วมจับมือกันเพื่อทำลายล้าง โค่นล้มรัฐบาลตุรกี เพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้นในเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลตุรกีสิ้นอำนาจลง เราลองมาพิจารณาข้อเขียนของ อัลอุซตาซ มุหัมหมัด ฮาบีบ อะหฺหมัด ในหนังสือของท่าน “ประเทศต่าง ๆ ในตะวันตกได้ร่วมมือกันเพื่อเผด็จศึกกับคอลีฟะฮฺอิสลาม (แห่งตุรกี - ผู้แปล) และ ชาวคริสต์ตะวันตกได้ทำข้อตกลงที่จะทวนกระแสอิสลามที่กำลังไหลแรง พวกเขาได้ทำสัญญาต่าง ๆ และได้เตรียมกองกำลังเพื่อเป้าหมายดังกล่าวนั้น และเป็นที่น่าเศร้าใจในขณะที่บรรดาผู้ปกครองแห่งราชวงศ์อุษมานียะฮฺกำลังหลงระเริงอยู่กับความฟุ้งเฟ้อ”
สนธิสัญญาการร่วมมือก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติซึ่งประกอบด้วยประเทศออสเตรีย โปแลนด์ และเวเนซูเอล่า เป็นสนธิสัญญาที่สำคัญมากโดยมีเป้าหมายที่จะบดขยี้ตุรกี และทำลายล้างอำนาจให้สิ้นซากไป ด้วยเหตุนี้ความขัดแย้งกับตุรกีอย่างชัดเจนด้วยเหตุผลทางศาสนาและด้วยเหตุผล ทางการศาสนาอีกนั่นเองที่รัสเซียเข้าผสมโรงด้วยโดยได้รับการสนับสนุนจากชาติ ตะวันตก พวกเขาประสบความสำเร็จในการจู่โจมและกระหน่ำจนกระทั่งตุรกีต้องเพลี่ยงพล้ำ และต้องเสียอำนาจในที่สุด
เมื่อราชวงศ์อุษมานียะฮฺได้ล่มสลายลง ประเทศอาหรับจึงตกเป็นของตะวันตกโดยสิ้นเชิงทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเคยเป็นอวัยวะสำคัญของรัฐคอลีฟะฮฺราชวงศ์อุษมานียะฮฺในปี 1860 ฝรั่งเศสได้รับการอนุมัติจากกลุ่มประเทศตะวันตกให้เข้ายึดครองเลบานอน ในขณะเดียวกันอังกฤษได้เข้ายึดครองอียิปต์ในปี 1882 อิตาลีเข้ายึดครองตริโปลี ในปี 1911 หลังจากนั้นต่อมา ในปี 1917 อังกฤษได้เข้ายึดครองอิรัค ต่อมาอีกไม่นานได้ยึดครองปาเลสไตน์ และในปี 1918 ฝรั่งเศสก็สามารถเข้ายึดครองซีเรียได้อีกประเทศหนึ่ง เมื่อได้มีการประชุมสมัชชาในการทำสัญญาลูซอน (LUZON) เพื่อสันติภาพอังกฤษได้ให้เงื่อนไขแก่ตุรกีว่า อังกฤษจะไม่คืนดินแดนส่วนต่าง ๆ ของตุรกีนอกจากต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อไปนี้
1. ตุรกีต้องล้มเลิกระบอบคอลีฟะฮฺ ขับไล่คอลีฟะฮฺออกนอกประเทศ และยึดทรัพย์สินทั้งหมด
2. ตุรกีจะต้องปราบปรามขบวนการต่าง ๆ ทั้งหมดที่สนับสนุนระบอบคอลีฟะฮฺ
3. ตุรกีต้องตัดสัมพันธ์ไมตรีกับโลกอิสลาม
4. ตุรกีจะต้องเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเสียใหม่และเลิกล้มรัฐธรรมนูญที่วางอยู่บนพื้นฐานอิสลาม
ตราบใดที่เงื่อนไขรับดังกล่าวยังไม่ได้การยอมรับโดยตุรกีแล้วพวกเขาจะโจมตี ต่อไป นี่จึงเป็นแรงผลักดันให้ มุสตอฟา กามาล อะตาร์เตอร์ก ต้อง กำจัดระบอบคอลีฟะฮฺ ประเทศตะวันตกมีความคิดเห็นว่าชื่อ คอลีฟะฮฺนั้นสามารถปลุกพลังประชาชาติอิสลามให้ลุกฮือขึ้นมาได้ และก่อให้เกิดความสามัคคีขึ้นมาใหม่ในกลุ่มได้ ด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้ตะวันตกโจมตีตุรกีอย่างไม่ลดละ พวกเขาเพิ่งยุติการโจมตีเมื่อตุรกีได้ขจัดระบอบคอลีฟะฮฺและปิดโรงเรียน สถาบันต่าง ๆ ของอิสลาม และต่อมาคำกล่าวที่ว่า ศาสนาแห่งรัฐาธิปัตย์ คือ อิสลาม ได้ถูกลบออกไปจากรัฐธรรมนูญเมื่อนั้นการโจมตีจึงยุติลง
ครั้งหนึ่งเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษได้แถลงถึงปัญหาเกี่ยวกับตุรกีในรัฐสภาอังกฤษมีส.ส.จำนวนมากที่คัดค้านการให้เอกราชแก่ตุรกีด้วยเกรงว่าตุรกีจะกลับมามีอำนาจ และโจมตีตะวันตกอีกครั้ง รัฐมนตรีต่างประเทศได้ตอบโต้ว่า “เราได้ทำลายตุรกีอย่างสิ้นซากแล้วมันจะไม่เกิดขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สองแล้วเพราะเราได้คร่าชีวิตของอิสลามและคอลีฟะฮฺแล้ว”


แผนการที่ 2 การลบล้างอัลกุรอ่าน
ดังที่เราได้ทราบจากเนื้อเพลงปลุกใจของชาติตะวันตกในตอนต้นแล้วว่า พวกเขาจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง เพื่อลบล้างอัลกุรอ่าน เพราะพวกเขาตระหนักว่าอัลกุรอ่านเป็นที่มาของพลังแห่งประชาชาติอิสลามและนี่ คือคำยืนยันของแกลดสโตน (GLADSTONE) อีกครั้งหนึ่ง ที่เขาได้ยืนยันว่า “ตราบใดที่อัลกุรอ่านยังอยู่ตราบนั้นตะวันตกไม่สามารถมีชัยชนะเหนือตะวันออกได้ หากแต่ตะวันตกนั่นเองที่จะไม่มีความสงบ (ปลอดภัย)”
อดีตผู้ปกครองชาวฝรั่งเศสในอาณานิคมอาหรับคนหนึ่งได้กล่าวปราศรัยในโอกาสครบ รอบหนึ่งร้อยปีแห่งการยึดครองอาณานิคมของตนว่า “เราจะต้องลบล้างอัลกุรอ่านที่เป็นภาษาอาหรับจากชาวแอลญีเรีย เราจะต้องทำลายภาษาอาหรับออกจากลิ้นของพวกเขา ในที่สุดเราก็สามารถยึดรองเขาได้” และผู้นำตะวันตกคนหนึ่งชื่อ วิลเลี่ยม เจฟอร์ด (WILLIAM JERFORD) ได้กล่าวว่า “เมื่ออัลกุรอ่านและเมืองมักกะฮฺได้หายไปจากสายตาของชาวอาหรับ นั่นแหละเราจะได้เห็นชาติอาหรับมุ่งสู่อารยธรรมตะวันตก และพวกเขาจะหันห่างจากมูหัมหมัด และคำสอนของเขา”
มิชชั่นนารีคริสเตียนชื่อ ตอกเลย์ (TOKLEY) กล่าวว่า “เราจะต้องใช้อัลกุรอ่าน มันเป็นอาวุธที่ดีเลิศที่เราจะใช้ต่อสู้กับอิสลามและเราจะต้องชี้แจงแก่ มุสลิมว่า ความจริงในอัลกุรอ่านนั่นไม่ใช่ของใหม่ และสิ่งใหม่ที่ปรากฏในอัลกุรอ่านนั้นไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด”
พวกเขาได้ครหาอัลกุรอ่านด้วยความมุสาต่าง ๆ นานา พวกเขาส่วนมากปฏิเสธว่า ท่านนบีมูหัมหมัดได้รับวะฮฺยูจากอัลลอฮฺ พวกเขาได้โจมตีอย่างเหลวแหลกต่อสัญญาณต่าง ๆ แห่งการประทานวะฮฺยูซึ่งมักจะเห็นชอบโดยซอฮาบะฮฺ
บางคนมีทัศนะว่าสัญญาณการประทานวะฮฺยู (พฤติกรรมของท่านนบีในขณะรับวะฮฺยูนั้น) ที่จริงแล้วเป็นการแสดงอาการทางโรคจิตอย่างหนึ่งที่สร้างความ เจ็บปวดแก่นบี
และมีทัศนะว่าวะฮฺยูนั้นเป็นผลของการละเมอเพ้อฝันของท่าน และบางคนกล่าวว่าวะฮฺยูนั้นเป็นอาการทางโรคจิตอย่างหนึ่งของท่าน (ขออัลลอฮฺทรงให้พวกเราห่างไกลจากการหลงทางนี้)
ด้วยเหตุนี้พวกเขาทั้งหมดที่เป็นยิวและคริสเตียนจึงยอมรับว่า การมีอยู่ของศาสดาต่าง ๆ คัมภีร์เตารอต (โตราห์) บทบาท และคำสอนของศาสดาต่าง ๆ เหล่านั้นเหนือกว่าท่านนบีมูหัมหมัด ฉะนั้นการแสดงออกถึงการปฏิเสธของพวกเขาจึงมิใช่สิ่งอื่นใด นอกจากทัศนะที่เต็มไปด้วยความอคติทางศาสนาที่มีอยู่ในหัวใจลำเอียงอย่างพวกบาทหลวงและมิชชันนารี่
แม้กระนั่นก็ตามเมื่อพวกเขาค้นพบสัจธรรมในอัลกุรอ่านโดยเฉพาะเรื่องราวต่าง ๆ ของประชาชาติในยุคก่อน ๆ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่คนที่ไม่ได้รับการศึกษา เขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก อย่างมูหัมหมัดจะรอบรู้ พวกเขาก็พยายามหาเหตุผลอื่น ๆ พอทำเนาและพยายามวาดภาพพจน์ด้วยความเขลาเบาปัญญาของตัวเองออกมาเช่นเดียวกัน เมื่อพวกเขาไม่สามารถปฏิเสธความจริงในกุรอ่านที่บ่งบอกถึงการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ยังไม่เคยค้นพบมาก่อนหน้านี้ พวกเขาก็พยายามหาเหตุผลมาปฏิเสธอีกจนได้


แผนการที่ 3 ทำลายระบบจริยธรรม ความคิด ความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมกับพระเจ้าและการปล่อยพวกเขาไปตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ
แผนการที่ 3 มีความสอดคล้องต้องกันกับนโยบายของผู้นำตะวันตกคนหนึ่ง คือ ซามูเอล ซูวัยเมอร์ (SAMUEL ZUWAIMER) ขณะเดียวกันก็เป็นประธานสมาคมมิชชั่นนารีด้วย เขาได้กล่าวในสภาคองเกรสมัลกิส ในปี 1953 ว่า “ที่จริงแล้วหน้าที่ของมิชชั่นนารี่ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลให้ทำงาน ใน ประเทศมุสลิมนั้น ไม่ใช่เพื่อเชิญชวนมุสลิมให้เข้ารับนับถือศาสนาคริสหรอก เพราะพวกเขาก็มีศาสนาและระบบความเชื่อถือของเขาอยู่แล้ว ภาระหน้าที่ของพวกท่าน คือ ให้พวกเขาหันเหออกจากอิสลามเท่านั้น และคลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับพระผู้เป็นเจ้า ตลอดจนทำให้พวกเขาขาดความสนใจต่อมารยาท จริยธรรม ที่เขาเคยยึดถือมาตลอด...”
“ท่านทั้งหลายจงเตรียมความคิดต่าง ๆ ที่จะให้แก่โลกอิสลามให้พร้อม เพื่อให้พวกเขายอมรับในวิธีการต่าง ๆ ที่ท่านทั้งหลายได้ดำเนินการ คือ เพื่อเพิกถอนวิญญาณออกจากเรือนร่างของมุสลิม ท่านทั้งหลายได้โปรดเตรียมไว้ให้พร้อมซึ่งกองกำลังของหนุ่มสาวที่ปราศจาก ความผูกพันกับพระเจ้า ด้วยวิธีการเช่นนี้ ที่ท่านทั้งหลายจะประสบความสำเร็จในการหันเหมุสลิมออกจากอิสลามแต่ก็มิได้ หมายความว่าพวกเขาจะเข้ารับนับถือศาสนาคริสแต่อย่างใด โอ้บรรดานักเผยแพร่ทั้งหลาย จงทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด...”
และแล้วก็เกิดชนอิสลามรุ่นใหม่ที่เป็นไปตามความต้องการของจักรวรรดินิยม พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับหน้าที่หลักที่สำคัญของพวกเขา พวกเขาชอบพักผ่อนปล่อยเวลาอย่างไร้สาระ พวกเขาชอบอยู่เฉย ๆ และแสวงหาสิ่งสนองตอบต่อความต้องการของอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา แม้แต่การศึกษาก็มีเป้าหมายเพื่อเรื่องเซ็กส์ การแสวงหาทรัพย์ก็เพื่อเป้าหมายดังกล่าว และแม้แต่เขามีตำแหน่งสูงเขาก็ใช้ตำแหน่งเพื่ออารมณ์เช่นกัน
หากเรามองสังคมปัจจุบัน เราก็สามารถเห็นปรากฏการณ์ต่าง ๆ อย่างชัดเจนว่ามันเป็นไปตามความต้องการ หรือแผนการของพวกเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยน พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น จงสังเกตชนรุ่นใหม่ว่าจริยธรรมของพวกเขาเลวทรามลงแค่ไหน มีเพียงชื่ออิสลามเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวของพวกเขา แต่วิญญาณ พฤติกรรม และวิถีชีวิตของพวกเขามิใช่มุสลิมเสียแล้ว
บทบาท ในการทำลายจริยธรรมประชาชาติอิสลามนั้นหาใช่ว่าถูกทำลายโดยชาวตะวันตกอย่าง เดียวเท่านั้น แต่เป็นเจ้าของประเทศเองซึ่งถูกหล่อหลอมด้วยสีสันจากตะวันตก บุคคลเหล่านี้แหละที่ทำงานเพื่อทำลายชาติของตนเอง โดยผ่านสถาบันการศึกษา หนังสือพิมพ์ ละคร ภาพยนตร์ แฟชั่นการแต่งกาย และพวกเขาพยายามสร้าง คิดค้นกิจกรรมการกีฬาและการละเล่นที่สร้างความเพลินเพลินจนกระทั่งลืมพระผู้ เป็นเจ้า ตลอดจนหันห่างผลักไสพวกเขาจากประตูมัสยิด สุเหร่า ห่างไกลจากมัจลิสอิลมีย์ และการศึกษาอิสลาม
สถาบัน เหล่านี้แหละที่เป็นเสมือนโรงงานที่ผลิตชนรุ่นใหม่ เป็นผู้นำแนวความคิดที่จะนำไปสู่ความเสื่อมทรามโดยอาศัยหน้ากากแห่งความ เจริญและทันสมัย พวกเขาเหล่านั้นถูกเตรียมพร้อมสำหรับการรับใช้ตะวันตก ในการเดินตามรอยของนักบูรพาคดีที่ได้หว่านล้อมทางเดินให้แก่พวกเขา และพวกมิชชั่นนารี่ที่สร้างความวุ่นวาย สับสนแก่ประวัติศาสตร์อิสลาม บีบคั้นบทบาทของมันในประวัติศาสตร์ระดับชาติ สร้างความรู้สึกต่ำต้อยแก่ประชาชาติอิสลาม
มิชชันนารี่ตอกเลย์ (TAKLAY) ได้กล่าวว่า “เรา จำเป็นต้องสนับสนุนให้มีการสร้างสถาบันการศึกษาในแนวตะวันตก เพราะปัจจุบันนี้มีมุสลิมจำนวนมากที่การศรัทธาของพวกเขาเกิดความเคลือบแคลง ต่ออิสลาม และอัลกุรอ่าน สืบเนื่องมาจากพวกเขาได้ทำการศึกษาตำราต่าง ๆ ของตะวันตก และศึกษาภาษาต่างประเทศมาก”
ลอร์ดโครเมอร์ ได้อธิบายถึงภาพพจน์ของยุทธวิธีที่จัดระบบโดย ฝรั่งเศส อังกฤษ และฮอลแลนด์ แก่ประเทศอิสลาม เขาได้กล่าวว่า “เยาวชน ที่ได้รับการศึกษาจากอังกฤษและตะวันตกพวกเขาตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่าง วัฒนธรรมและจิตใจของพวกเขากับประเทศชาติของพวกเขา ในขณะเดียวกันพวกเขาก็พบอุปสรรคในการเป็นสมาชิกของสังคมที่พวกเขาได้รับการ ศึกษามา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงโซซัดโซเซ”
นี่คือเป้าหมายอย่างแท้จริงที่ชาวตะวันตก (กระทำกับมุสลิม) ไม่ว่าจะในระดับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย หรือการฝากนักเรียนไปสู่ประเทศยุโรปหรือประเทศอื่นๆ นักเขียนคนหนึ่งชื่อ โจบราน ได้ยืนยันว่า เยาวชนที่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนต่าง ๆ ของอเมริกาจะได้เป็นสมุนของอเมริกา นักศึกษาที่สังกัดอยู่ในโรงเรียนซูซุยติก พวกเขาจะเป็นทูตของฝรั่งเศสอย่างแน่นอน ในขณะที่นักศึกษาที่สังกัดในสถาบันการศึกษาของรัสเซียเขาจะได้เป็นตัวแทนของ รัสเซีย
ทัศนะดังกล่าวมีความถูกต้อง เพราะประเทศตะวันตกได้ทำสงครามกับประเทศตะวันออกโดยเฉพาะอิสลามด้วยการส่ง ผู้เชี่ยวชาญ มิชชันนารี่ นักบูรพาคดี นักหนังสือพิมพ์ และสร้างศูนย์กลางที่ใหญ่โตในทุกเมืองหลวงของประเทศมุสลิม โดยเน้นเป้าหมายเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมของพวกเขาให้แก่ชาวเมืองนั้น ๆ แผนการที่เลวร้ายนี้ได้แทรกซึมไปยังโรงเรียน มหาวิทยาลัย ศูนย์วัฒนธรรมต่าง ๆ สถาบันสาธารณสุข หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ วีดีโอและภาพยนต์
การเคลื่อนไหวของกลุ่มนิยมตะวันตกที่อันตรายนี้ได้มีการทำงานกันอย่างเป็น ระบบ เพื่อเข้าไปอยู่ในทุกส่วนแห่งคุณค่าอิสลาม คุณค่าของอิสลามที่บริสุทธิ์ถูกกล่าวหาว่าเป็นวัฒนธรรมที่ล้าสมัย และภายในระยะเวลาอันนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ของพวกเขาก็ผูกขาดการบริหารหนังสือ พิมพ์ต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยผู้ที่มีแนวคิดต่อต้านอิสลาม สื่อมวลชนเหล่านี้แหละที่พวกเขาได้ใช้อย่างเต็มที่เพื่อที่จะแบ่งแยกความคิด และจิตใจของมุสลิมออกจากคำสอนของอิสลามทุกรูปแบบ จากคุณค่าที่วางอยู่บนพื้นฐานหลักเตาฮีด ศีลธรรม และความศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และพวกเขาได้บรรจุสารพิษแห่งการปฏิเสธเข้าสู่สมองอันว่างเปล่านั้นในขณะ เดียวกันพวกเขาก็ใช้เทคนิคบิดเบือนให้เกิดความคลุมเครือ กล่าวคือ การทำโครงการซึ่งมีลักษณะภายนอกเป็นอิสลามแต่แก่นแท้ คือ การบิดเบือนมุสลิมให้ไขว้เขวจากอิสลาม เช่น การประกาศใช้ชื่อ อิสลาม ในโครงการต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ดำเนินการ
พวกเขามิได้หยุดยั้งเพียงแค่นั้น หากแต่เราเคยอ่านพบในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ที่ตีพิมพ์โดยคนกลุ่มนี้ พวกเขาได้เสนอเรื่องที่ใช้ชื่ออิสลาม แต่เนื้อหาโจมตีอิสลาม และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เกิดหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ฉบับหนึ่งที่มีชื่ออิสลาม แต่เนื้อหาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากหนังสือพิมพ์อื่นทั่ว ๆ ไป ซึ่งเต็มไปด้วยรูปภาพที่ไม่ได้ส่อแสดงถึงบุคลิกภาพแห่งอิสลามแม้แต่น้อย ที่จริงแล้วการเกิดมาของหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารต่าง ๆ นี้มีเป้าหมายอย่างเดียวกัน คือ เพื่อทำลายจริยธรรม ตลอดจนการให้สารพิษทางความคิดแก่มุสลิม และกอบโกยผลประโยชน์เข้าหาตัวเองในขณะเดียวกันด้วย และ เบื้องหลังของเขามีนักการเมืองซึ่งคอยหวังผลประโยชน์จากการทำงานของสื่อ มวลชน เพื่อเพิ่มพลังอิทธิพลและรักษาเก้าอี้ของตนเองให้คงอยู่ต่อไป แต่ ในขณะเดียวกันก็มีนิตยสารที่ตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายที่บริสุทธิ์ เพื่อเรียกร้องเชิญชวนไปสู่อิสลามที่แท้จริง และต่อต้านสิ่งมุงกัรทั้งหลายทุกรูปแบบที่ปรากฏ ในที่สุดสำนักพิมพ์เหล่านั้นก็จะสูญหายไปที่ละสำนัก ๆ หนำซ้ำยังถูกตีตราว่ามีความงมงาย และสร้างความแตกแยกแก่สังคม หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ที่พวกกาฟิรจากตะวันตกอยู่เบื้องหลัง นับวันจะเติบโต และสามารถยืนหยัดอยู่ได้ พวก เขาได้ดำเนินการในทุกรูปแบบและทุกแง่มุม ช่วงแรกของขบวนการเหล่านี้ชาวตะวันตกเป็นผู้ทำงานเอง แต่ต่อมาภาระหน้าที่เหล่านี้ถูกมอบหมายให้กับนักเรียนมุสลิมเพื่อให้เจ้าของ ประเทศยอมรับโดยปราศจากความลังเลใด ๆ นักเรียนเหล่านี้แหละที่มีบทบาทในการนำ เผยแพร่ปรัชญาสมัยใหม่ ๆปสู่ชาวพื้นเมืองโดยที่พวกเขาหารู้ไม่ว่าขบวนการสมัยนิยม (MODERNISM) นั้นเป็นขบวนการต่อต้านศาสนาและคุณค่าแห่งจิตวิญญาณ
ตามทัศนะของมัรยัม ญะมีละฮฺ ในหนังสือของเธอ “อิสลามและมอร์เดริ์นนิสม์” ว่า “หากจะเปรียบขบวนการมอร์เดริ์นนิสม์ก็เป็นเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง และกิ่งก้านของมันก็คือลัทธิต่าง ๆ อันประกอบด้วย คอมมิวนิสต์ สังคมนิยม ทุนนิยม ฟาสซิสต์ เป็นต้น”
ลักษณะของขบวนการสมัยนิยม (MODERNISM) มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. การ ปฏิเสธวันปรโลก บาปบุญ และวันแห่งการตอบแทน เป็นต้น ฉะนั้นจึงสนับสนุนให้มนุษย์มีความสนุกสนาน เพลิดเพลินทางร่างกาย และวัตถุเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงคุณค่าแห่งอะกีดะฮฺและจริยธรรม
2. บูชาในความคิดและเหตุผลของมนุษย์ อำนาจทางวิทยาศาสตร์ถูกทำให้เหนืออำนาจของ
พระเจ้า
3. ชาติ นิยม เป็นลักษณะสำคัญของขบวนการนี้ ซึ่งมันได้ให้การยกย่องและหยิ่งทะนงต่อ
ประชาคมของตัวเองและปลูกฝังความ รู้สึกเกลียดชังแก่กลุ่มอื่น ๆ
4. มอร์เดริ์นนิสม์ พยายามที่จะทำลายระบบครอบครัว (ลดบทบาทสถาบันครอบครัว)
คาร์ล มาร์กซ์ ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาว่า“เราต้องสนับสนุนให้มนุษย์กำจัดระบบครอบครัวให้สูญสิ้นด้วยวิธีการ 3 ประการ คือ
* ขยายโรงงานอุตสาหกรรม
* ขยายสังคมเมือง
* ให้สิทธิเสรีภาพแก่สตรี”
ทั้ง 3 ประการ นั้นมีความเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน โดยนำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การทำลายสถาบันครอบครัว เมื่อโรงงานอุตสาหกรรมได้เปิดรับคนเข้าทำงานและให้ค่าแรงงานที่คุ้มค่า ทำให้สตรีจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่เมือง และเมื่อทั้งสามี ภรรยา ต่างออกทำงานนอกบ้าน ทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เช่น ปัญหาการหย่าร้าง ครอบครัวขาดความอบอุ่น เพราะต่างคนต่างเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน
เมื่อบิดาไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีและสมบูรณ์แบบโดยเฉพาะในด้าน การอบรม เลี้ยงดูและการให้ความรักแก่ลูกของตน แม้พวกเขาจะส่งศูนย์รับเลี้ยงเด็กหรืออนุบาลก็ตาม สถาบันเหล่านั้นไม่สามารถที่จะให้ความอบอุ่นได้เท่าเทียมที่พ่อแม่หยิบยื่น ให้ สิ่งนี้มีอิทธิพลต่อจิตใจของเด็กและนี่คือต้นเหตุที่สำคัญที่ทำให้เยาวชนขาด จริยธรรม ซึ่งมีผลต่อสังคมโดยส่วนรวม
สโลแกน เรียกร้องสิทธิของสตรีก็มีบทบาทอีกเช่นกันในการทำลายสถาบันครอบครัวให้ อ่อนแอลง สตรีปัจจุบันมักจะคล้อยตามกับสิ่งล่อใจ นิตยสารบันเทิงและสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่สนับสนุนให้ต่อต้านขนบธรรมเนียมประเพณี แม้ภายนอกเราเห็นถึงการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพสามารถให้ความเป็นธรรมแก่สตรี ได้ แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันได้ทำลายวิถีชีวิตของสตรีเองต่างหาก เพราะสตรีเองกลายเป็นเครื่องมือทางการค้าธุรกิจ เพื่อกอบโกยผลกำไรของกลุ่มประโยชน์ (นายทุน) ด้วย วิธีการต่าง ๆ เช่น การโฆษณากิจการโสเภณี เป็นต้น นี่แหละนี่สาเหตุที่นำไปสู่ความเสื่อมทรามทางด้านจริยธรรมของสังคม ทำให้เกิดบุตรนอกสมรส โรคทางเพศ การกดขี่ การเข่นฆ่า และอาชญากรรมอื่น ๆ


แผนการที่ 4 แผนการทำลายเอกภาพมุสลิม
มิชชันนารี่คนหนึ่ง ลอเรนซ์ บราวน์ ได้กล่าวว่า “หากประเทศมุสลิมในโลกอาหรับมีความสามัคคีเป็นเอกภาพกัน แน่นอนพวกเขาจะกลายเป็นซุงโลกขึ้นมาทันที แต่หากพวกเขาแตกแยกกันพวกเขาก็จะกลายเป็นสิ่งไม่มีค่าใด ๆ และไม่มีอิทธิพลใด ๆ อีกเลย ปล่อยให้อาหรับและมุสลิมแตกแยกกันเถิด เผื่อว่าอำนาจจะได้หลุดไปจากพวกเขา”
ความเป็นเอกภาพของมุสลิมทั้งโลกเป็นสิ่งที่ตะวันตกเกรงกลัวยิ่งนัก เพราะพลังของมุสลิมนั้นตะวันตกไม่สามารถต้านทานได้ ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ความจริงข้อนี้ด้วยการสองอภิมหาอำนาจโลก โรมันและเปอร์เซียถูกโค่นล้มอย่างราบคาบมาแล้ว
ในปี 1907 ได้ มีการประชุมใหญ่ทั่วประเทศตะวันตก ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย นักปรัชญา นักการเมือง ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีของอังกฤษเป็นประธาน ในการปราศรัยเขาได้กล่าวว่า “อารยธรรม ตะวันตกถูกโจมตีต้องประสบกับความเสียหายและสาบสูญไปในที่สุด ฉนั้นเราต้องหาวิธีการที่ได้ผลเพื่อผดุงไว้ซึ่งอารยธรรมของเราจากความเสีย หาย”
การประชุมดังกล่าวนั้นมีผลสรุปว่า จะต้องมีการวางแผนการให้มีการจัดตั้งกลุ่ม สมาคม ชมรม หรือองค์กรใด ๆ ในประเทศตะวันออกไกล เพราะหากประชาชาติอิสลามมีความเป็นเอกภาพแล้ว จะเป็นอันตรายต่ออนาคตของตะวันตก และในการประชุมสมัชชาดังกล่าวอีกเช่นกัน ได้มีมติเอกฉันท์ว่า จะต้องสร้างประเทศกลุ่มชาตินิยมตะวันตก ในประเทศตะวันออกของคลองสุเอซ เพื่อต่อต้านอาหรับมุสลิม และสร้างความแตกแยกให้แก่กลุ่มโลกอาหรับ
ด้วยเหตุนี้เองอังกฤษจึงได้ร่วมมือกับยิว เพื่อต่อสู้ร่วมกันในการสถาปนาประเทศอิสราเอลในแผ่นดินปาเลสไตน์จากประการ ดังกล่าวนี้โยงใยไปสู่การประกาศอิสรภาพจากความเป็นอาหรับและอิสลาม ได้มีการกล่าวถึงสโลแกนต่าง ๆ ที่มีการกล่าวขานกันว่า อาหรับ อารยธรรมเมดิเตอร์เรเนียน และอียิปต์มีความสัมพันธ์กันและเป็นส่วนหนึ่งของตะวันตก ได้มีการเผยแผ่ความคิดเหล่านี้โดบผ่านสื่อมวลชน สร้างความรู้สึกชาตินิยมขึ้นมาใหม่ ชาตินิยมฟาโรห์ โพเนเชียน และอัสซีเรียน ซีเรีย อิรัค ชาตินิยมเผ่าพันธ์ กลุ่ม เผ่า ได้เริ่มก่อตัวขึ้นมา ทันใดนั้นประเทศที่ปกครองด้วยความร่วมมือของสมุนของมันก็ร้อนเป็นเชื้อเพลิง ปลุกพลังชาตินิยมขึ้นมาทำลายเอกภาพของประชาชาติทันที โปป ซีมอน (POPE SIMON) กล่าวว่า “เอกภาพของประชาชาติอิสลามนั้นเป็นความหวังสูงสุดของประชาชาติของมัน และมันเป็นวิถีทางที่จะทำให้เขาหลุดออกจากอำนาจตะวันตก (โซ่ตรวนของตะวันตก) ณ จุดนี้เองบทบาทของมิชชันนารี่จึงมีความสำคัญมากในการตัดทอนพลังของมุสลิม ด้วยเหตุนี้เอง เราสมควรที่จะขัดขวางกระแสความเป็นเอกภาพของพวกเขาด้วยขบวนการมิชชันนารี”


แผนการที่ 5 สร้างความเคลือบแคลงแก่มุสลิมต่อศาสนาของพวกเขา
ในหนังสือ "สภาของผู้ทำงานเพื่อพระคริสต์” ได้เขียนว่า “มุสลิมได้อ้างว่าคำสอนของอิสลามนั้นจะครอบคลุมในการสนองตอบแก่สังคมมุสลิม ในทุกแง่มุม ฉะนั้นมิชชันนารีจะต้องต่อต้านอิสลามด้วยอาวุธทางความคิดและจิตวิญญาณ” เพื่อเป้าหมายดังกล่าวนั้น นักบูรพาคดีจึงได้มุ่งวิเคราะห์เจาะจงอิสลามว่าพวกเขาได้ศึกษาอิสลามอย่าง ลึกซึ้ง ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้ส่งมิชชันนารี่คริสเตียนไปสู่ประเทศมุสลิมทั่ว ประเทศ โดยผิวเผินแล้วพวกเขาส่งไปทำหน้าที่แห่งมนุษยธรรม เช่น การสร้างโรงพยาบาล ศูนย์สงเคราะห์ประชาชน เป็นต้น แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันเป็นเบ้าหลอมที่จะบิดเบือนหลักอะกีดะฮฺของประชาชาติ อิสลาม
พวกเขาได้หว่านโรยความดีนั้นไว้ จนกระทั่งถึงระดับหนึ่ง ประชาชาติได้ติดบุญคุณ ก็จะรู้สึกผูกพัน ในวิธีนั้นแหละถึงเวลาที่จะต้องจูงใจบังคับให้พวกเขาเปลี่ยนศาสนาหรือเป็นมุ รตัด
กิจกรรม อีกอย่างหนึ่งของพวกเขา คือ การปราศรัย บรรยายทางวิชาการในสถาบันการศึกษาระดับสูง มหาวิทยาลัยต่าง ๆ และกรมวิชาการ และทีพวกเขาถูกเชื้อเชิญโดยฝ่ายที่มีอำนาจที่มีความสึกต่อต้านอิสลาม โดยมีเป้าหมายที่จะกีดกั้นการฟื้นฟูอิสลาม เราคงจะทราบกันดีอยู่แล้วในเรื่องนี้
ความเข้าใจเกี่ยวกับอิสลามแผ่ขยายกว้างขวางในสถาบันการศึกษาระดับสูงจนก่อ ให้เกิดแรงสั่นสะเทียนต่อญาฮีลียะฮฺที่มีอยู่ก่อนแล้ว กลุ่มนี้ต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่อิสลามดั้งเดิม ในการปราบปรามกลุ่มเหล่านี้ ฝ่ายผู้ปกครองก็ได้เชื้อเชิญนักบูรพาคดีซึ่งก่อนนี้เคยมีเชื้อเสียง ในหน้าหนังสือพิมพ์ ในนามนักคิดอิสลามที่มีชื่อเสียง พวกเขาเหล่านั้นได้รับมอบหมายให้แก้ปัญหาที่พวกเขาไม่อาจดำเนินการได้ นักคิดดังกล่าวนั้นอันตรายอย่างที่สุด และเป็นปฏิปักษ์ต่ออิสลามสิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาระดับสูงในประเทศอาหรับ เช่น ไคโร ดามัสกัส แบกแดด ราบัต ลาฮอร์ การาจี อาลีฆา และ (ไม่ยกเว้น) มาเลเซีย
ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้เสนอบทความและข้อเขียนของพวกเขาในหนังสือต่าง ๆ ดร.มุสตอฟา อัลคอลิดีย์ ได้เขียนในหนังสือของท่าน Missionaries and Twipenalisme ว่า “บรรดา มิชชันนารี่คริสเตียน ได้ยืนยันว่าพวกเขาสามารถควบคุมหนังสือพิมพ์ของอียิปต์ เพื่อถ่ายทอดแนวคิดของคริสเตียน และการบรรจุข้อเขียนนั้น พวกเขาเป็นผู้ออกทุนเอง”
นอกจากนี้แล้วพวกเขายังได้จัดทำสารานุกรม Encyclopedia of Islam ใน ภาษาต่าง ๆ พวกเขาได้สอดแทรกข้อมูลปลอม ยาพิษ และการฉ้อฉลต่ออิสลาม ซึ่งน่าเป็นที่น่าเวทนาที่สารานุกรมดังกล่าวนั้นกลายเป็นแหล่งอ้างอิงของนัก วิชาการของพวกเราได้นำข้อมูลมาใช้ในการอ้างอิงและการวิเคราะห์


แผนการที่ 6 ทำลายเอกภาพของโลกอาหรับ
โมโร เบอเกอร์ ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อ “โลกอาหรับ” ว่า “ประวัติ ศาสตร์ได้บอกไว้ว่า พลังของอาหรับก็คือพลังของอิสลาม ฉะนั้นจงทำลายล้างอาหรับให้เสื่อมลง ความเสื่อมของพวกเขานั้นเองแหละที่จะทำลายอิสลาม” (อีกครั้งหนึ่ง)”
แผนการนี้เป็นแผนการที่เด่นมากในขณะนี้ เราจะสังเกตเห็นได้จากโลกอาหรับว่า ประเทศเหล่านั้นถูกล้อเลียนโดยมหาอำนาจตะวันตกเพียงใด พวกเขาทำสงครามด้วยกันเองในขณะเดียวกันที่ผู้กอบโกยกำไรจากการขายอาวุธ คือ ประเทศตะวันตก
การ ศึกษาภาษาอาหรับ กลับไม่ได้รับความสนใจ ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขาต้องการสร้างชนรุ่นใหม่ที่ไม่รู้ภาษาอัลกุรอ่าน และแยกตัวออกจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และความรู้เกี่ยวกับอิสลามที่แท้จริง
สำหรับชาวอาหรับที่วางรากฐานอยู่บนพื้นฐานอิสลาม และอัลกุรอ่าน ถูกค้นพบว่า รากฐานของระบบชีวิตของชาวอาหรับนั้นยากที่จะเปลี่ยนแปลงหรือรับวัฒนธรรมภาย นอก (ต่างชาติ) ด้วย เหตุนี้เองที่ทำให้ฝ่ายปรปักษ์ได้มุ่งความพยายามของพวกเขาไปสู่การทำลายราก ฐานดังกล่าว และพวกเขาได้เปลี่ยนเข็มของชาวอาหรับไปสู่สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งนำไปสู่การทำลายเอกลักษณ์ของตัวเอง ตลอดจนบังคับพวกเขาให้เปิดโอกาสให้กับอิทธิพลจากต่างชาติ ฉะนั้น ด้วยปัจจัยเหล่านี้นี่เองที่ประเทศเหล่านั้นจึงตกเป็นอาณานิคมทางความคิดไป
โมโร เบอเกอร์ ได้ยืนยันในหนังสือของเขาว่า “ความระวังของเราต่อโลกอาหรับ และที่เราได้ให้ความสนใจต่อพวกเขานั้น มิใช่เพราะปีโตรเลี่ยมที่พวกเขามี หากแต่เพราะอิสลามที่เขามีต่างหาก”
“ภาระหน้าที่ต่อสู้กับอิสลามก็เพื่อที่จะขัดขวางการเกิดมาของภาคีอาหรับ เพราะพลังของกลุ่มอาหรับ จะเคียงข้างพลังของอิสลาม... การแผ่ขยายของอิสลามได้สร้างความแปลกประหลาดแก่เรา ที่อิสลามสามารถแผ่ขยายในอัฟริกาอย่างงายดาย...”


แผนการที่ 7 สร้างรัฐเผด็จการในโลกอาหรับ
นักบูรพาคดีชาวอเมริกันคนหนึ่ง ชื่อ ดับบลิว เค สมิธ (W.K.SMITH) ซึ่งเป็นปราชญ์ผู้ปราชเปรื่อง ได้กล่าวว่า “หากปลดปล่อยมุสลิมให้อิสระ (ให้เอกราชแก่ประเทศมุสลิม) และ ให้พวกเขาอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อิสลามจะครอบครองประเทศนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นโดยระบอบเผด็จการเท่านั้นที่สามารถขัดขวางการเผยแผ่ขยายของอิสลาม ได้”
บรรณาธิการนิตยสารไทม์ (TIMES) ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขา “การเดินทางของเอเชีย” ให้ ผู้เสนอแนะแก่ผู้นำอเมริกา เพื่อให้สร้างรัฐเผด็จการทหาร เพื่อที่จะได้ขัดขวางการขยายตัวของอิสลามต่อประชาชาติของเขา และพวกเขามีความหวาดกลัวว่ามันจะขยายอิทธิพลถึงโลกตะวันตก วัฒนธรรมและอาณานิคมของเขา
แม้ว่าประเทศตะวันตกจะให้เอกราชแก่ประเทศมุสลิมก็ตาม แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นมิได้หมายความว่าเป็นเอกราชที่สมบูรณ์ เพราะสิ่งที่พวกเขาได้สร้าง (ทอดทิ้ง) ไว้ ในรูปของระบบ กฎหมาย ปรากฎชัดว่ายังเป็นประโยชน์แก่พวกเขา ข้าทาสที่พวกเขาได้ฝากความไว้ได้ทำหน้าที่ให้แก่พวกเขาต่อไป ทั้งที่พวกนั้นเป็นลูกหลานก็ตาม
ระบอบประชาธิปไตยที่พวกเขาได้ตกทอดเอาไว้นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายล้างอะกีดะฮฺของประชาชาติอิสลาม เพราะความหมายของประชาธิปไตยก็คือการยึดถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ตัดสิน กล่าวคือ ทุกคนในท้องที่มีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตน และสามารถคิดค้นกฎหมายตามความต้องการของพวกเขา
ที่ผ่านมาแล้วนั้น เราได้วิเคราะห์ 2 ระบบที่กล่าวมา เราสรุปได้ว่า ระบบเซคคิวลาริสม์ (SECULARISM) เป็น การปลดปล่อยมนุษย์จากการสักการระบูชา การจำนน และเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺ ตลอดจนถึงลักษณะทางจริยธรรมที่มีอยู่แล้ว ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสของตัวเอง โดยไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อผู้อื่นทั้งสิ้น และในขณะเดียวกันที่ระบบ ชาตินิยม (NATIONALISM) กลับ สร้างความตระหนี่ หยิ่งยะโสและเห็นแก่ตัว และมองผู้อื่นอย่างดูแคลน หลังจากนั้นก็เกิดระบบประชาธิปไตย ยิ่งเพิ่มความหยิ่งยะโสให้กับมนุษย์ที่ถูกมอมเมาด้วยชาตินิยมอยู่แล้วเข้าไป อีก แทนที่ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าพวกเขาเขาได้สร้างกฎหมายอื่นขึ้นมา บรรดาผู้มีอิทธิพลได้ใช้รัฐบาล และกองกำลังความเข้มแข็งทุกอย่างเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่พวกเขาได้วาง ไว้ นี่คือ ระบอบเผด็จการ ซึ่งประเทศมุสลิมส่วนมากกำลังดำเนินการ รวมทั้งมาเลเซียด้วย


แผนการที่ 8 แยกมุสลิมออกจากการครอบครองอุตสาหกรรมและ มอมเมาสินค้าจากตะวันตก
ในปี 1952 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส ได้ชี้แจงว่า“เราจะอำนวยทุกสิ่งทุกอย่างตามที่โลกอิสลามปรารถนาและเราจะกระตุ้นมิให้ พวกเขา ผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีจนกระทั่งพวกเขายืนขึ้นไม่ได้ แต่ถ้าหากเราล้มเหลวในจุดประสงค์นี้ อันหมายถึงการปล่อยให้พวกเขาตกอยู่ในความล้าหลังและความโง่เขลา และความรู้สึกมีปมด้อย แน่นอนที่เดียวว่าเราจะต้องเผชิญอันตรายอย่างใหญ่หลวง โลกอาหรับและพลังทั้งมวลของอิสลามที่ยิ่งใหญ่และอันตรายนั้นจะทำลายโลกตะวัน ตก และบทบาทชี้นำโลกที่อยู่ในมือของพวกตะวันตกก็จะต้องยุติลงโลกมุสลิมมีความเป็นตัวของตัวเอง พวกเขามีมรดกตกทอดเป็นของเขาเองและมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง พวกเขามีความสามารถในการสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมใหม่ ๆ ให้แก่โลก โดยไม่ต้องอาศัยจากตะวันตกเลย เมื่อใดที่พวกเขาสามารถสร้างตนเองทางด้านอุตสาหกรรมที่ขวางกั้นแล้ว ไม่ใช่ด้วยความเข้มแข็งของพวกเขากระนั้นหรือที่ทำให้โลกตะวันตกพ่ายแพ้ หลับใหลในฤดูกาลประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา”
ด้วยเหตุนี้พวกตะวันตกพยายามที่จะกดขี่ทางด้านอุตสาหกรรมของประชาชาติอิสลาม นี่แหละเป็นปัจจัยให้พวกเขาร่วมมือกันทำงานกับเรา โดยมีเป้าหมายเพื่อระบายสินค้าที่พวกเขาผลิตขึ้นมา และซื้อของจากเราไปในราคาที่ต่ำมาก


แผนการที่ 9 กำจัดบรรดานักคิดอิสลาม และ ทำลายขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชาติ
มุสลิมให้สิ้นสุดลง
จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสามารถและความพยายามของบรรดานักคิดอิสลามนั่น เอง ที่จะปลุกร้าวประชาชาติอิสลามให้ลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง ดังที่เราสามารถเห็นได้จากการเกิดขึ้นมาของบรรดานักคิดรุ่นใหม่ และนักต่อสู้เพื่ออิสลาม พวกเขากลับมาทบทวนกันใหม่ถึงบทบาทของการญิฮาด เพื่อที่จะเรียกร้องให้อิสลามกลับมาใหม่ให้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นสิทธิของมัน หลังจากที่อิสลามได้หายไปเป็นเวลานานพร้อม ๆ กับความตกต่ำของประชาชาติมุสลิม และความคร่ำครึของนักปราชญ์ อุลามาอฺ และนี่เป็นสิ่งที่น่าหวั่นกลัวของชาวตะวันตก ดังที่ได้รับการยอมรับโดยอดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบน โกเรียน (BEN GORIEN)“บรรดาสิ่งที่เราเกรงกลัว ก็คือการกำเนิดมุหัมหมัดคนใหม่ในโลกอิสลาม” และเอ เอ กิ๊บ ได้เขียนในหนังสือของเขาว่า“ขบวนการอิสลามได้เปลี่ยนแปลงรูปใหม่ จากธรรมดากลายเป็นรูปใหม่ที่น่าเกรงขาม มันผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ชนิดไม่มีสัญญาณขึ้นมาให้เห็นเลย มันได้สร้างความงงงวยแก่ผู้ที่เฝ้าสังเกตมัน ขบวนการอิสลามมิเคยสูญสิ้น อะไรจะเกิดขึ้นหากมี ซอลาฮุดดีน อัลอัยยูบีย์ คนใหม่ได้กำเนิดขึ้นมา”เช่นเดียวกับนักบูรพาคดี มอนเตอร์โกเมอรี่ วัตต์ (MONTEGOMERY WATT) ได้แสดงความวิตกกังวลในหนังสือ London Times ว่า“เมื่อมีผู้นำที่มีความเหมาะสมและความเชี่ยวชาญได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับ อิสลาม มันเป็นไปได้ที่ศาสนานั้นจะผุดขึ้นมากลายเป็นพลังทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ใน โลกนี้อีกครั้งหนึ่ง”
เพราะการเกิดใหม่ของอิสลามนั้น หมายถึง เคราะห์กรรมของชาวตะวันตกที่ต้องประสบภัยพิบัติอย่างใหญ่หลวง ซึ่งอาจจะต้องถึงวาระสุดท้ายของพวกเขา ความรู้สึกหวาดผวา และวิตกกังวลนี้ถูกเปิดเผยโดยอดีตผู้ปกครองประเทศเผด็จการโปรตุเกสว่า “ข้าพเจ้ามีความวิตกว่า จะมีผู้นำใหม่เกิดขึ้นในหมู่มุสลิม ซึ่งจะต่อต้านการเคลื่อนไหวของเรา และจะต่อต้านเราอีก”
จากหลักฐานดังกล่าว ตะวันตกจึงได้ร่วมมือกันเพื่อเป้าหมายในการทำลาบล้างขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อ อิสลามโดยการสังหารผู้นำของพวกเขา แม้ว่าพวกเขามิได้มีส่วนร่วมโดยตรงในแผนการดังกล่าว แต่สมุนรับใช้ของพวกเขานั่นแหละที่เป็นผู้ปฏิบัติการ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างเข้มงวดในทุกหนทุกแห่งที่มีขบวนการอิสลามเคลื่อน ไหวอยู่
เราคงไม่เคยลืมเหตุการณ์การปฏิบัติการของอังกฤษ ในการเข่นฆ่าผู้นำ และทำลายขบวนการของ เชคมุหัมหมัด อับดุลวาฮับ ในคาบสมุทรอาหรับ ขบวนการของเชค อุษมาน และโฟดิโอในประเทศไนจีเรีย และขบวนการมะฮฺดีแห่งซูดาน แล้วเราไม่เคยเห็นดอกหรือถึงการปฏิบัติการของพวกเขาที่ได้เชิดหุ่นรัฐบาล อียิปต์ ที่เซคคิวลาร์ (แบ่งแยกศาสนจักรออกจากอาณาจักร) โซเซียลิสม์ (สังคมนิยม) เอียงซ้าย คอมมิวนิสต์เพื่อทำลายขบวนการอิควานนุลมุสลีมูน


แผนการที่ 10 ทำลายสตรีและขยายสังคมเสรี
แผนการที่ 10 เป็นแผนการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจากบรรดาแผนการที่ตะวันตกทำลายอิสลาม ได้รับคำยืนยันอย่างภาคภูมิใจจาก แอนท์ มาลีคัม (Ant Maligam) ว่า “เราประสบความสำเร็จในการรวบรวมบรรดาหญิงสาว (นักเรียนหญิง) ใน ระดับมัธยมและระดับสูงทุกชั้นปี ในวิทยาลัยตะวันตกในไคโร ไม่มีที่ใดที่เราสามารถรวบรวมหญิงสาวมุสลิมได้มากเท่านี้ เพราะไม่มีวิธีการใดที่ใกล้กว่านี้อีกแล้วในการทำลายป้อมปราการอิสลาม”
การแทรกแซงทางการศึกษาเป็นวิธีการที่ได้ผลที่สุดของตะวันตก ในการลบล้างอะกีดะฮฺอิสลาม ในขณะเดียวกันก็เบี่ยงเบนพวกเขาให้หันออกจากอิสลาม บางคนต้องออกจากสามี หรือเพื่อน ๆ พวกเขาใช้สตรีเป็นเครื่องมือในการทำลายเอกลักษณ์ของสังคมมุสลิมหากเราพิจารณาจากแฟ้มประวัติศาสตร์แล้ว เราจะพบกับความเสื่อมเสียและความล่มสลายของชาติใดชาติหนึ่งหรือประเทศใด ประเทศหนึ่งซึ่งมักจะเกิดขึ้นโดยสตรีเป็นเหตุเสมอเรา จะพบเห็นบ่อย ๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่าง ๆ ในเรื่องการมั่วสุมกับสตรีของบุคคลระดับประเทศ ในที่สุดก็ต้องเสียตำแหน่งของตัวเองไป เช่นเดียวกันกับประเทศมาเลเซีย มันช่างสอดคล้องกันเหลือเกินกับคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า “จะไม่มีภัยพิบัติใดสำหรับชาย หลังจากฉัน (เสียชีวิต) ยิ่งไปกว่าสตรี”
จากการรายงานข่าวจากฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนรายงานว่า พวกผู้นำยิวได้เปิดทางให้หนุ่มอาหรับได้สังคมกับหญิงชาวยิวโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งบริเวณชายหาด และสนับสนุนให้หญิงชาวยิวได้ผิดประเวณีกับหนุ่มอาหรับ และในเขตพื้นที่ที่มีมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ ก็จัดส่งภาพยนตร์ลามก สร้างสถานอาบอบนวด ดิสโก้เธค ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายเพื่อทำลายจริยธรรมของประชาชาติอิสลามและทำ ให้พวกเขาได้ละเลยจากสนามแห่งการญิฮาด แผนการข้อนี้สอดคล้องกับกฎบัตรของยิวข้อที่ 6 ตราไว้ว่า“เรา (ยิว) จะ เล่นบทบาทในการทำลายเยาวชนที่ไม่ใช่ยิว โดยพ่นสารพิษเข้าไปในความคิดของเขา ด้วยทฤษฎีและหลักการต่าง ๆ จนในที่สุดสตรีจะเป็นเครื่องมือในการบำเรอผู้ชาย ไม่ว่าพวกเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม”
แต่สิ่งที่ทำให้เรารูสึกหดหู่ใจเป็นอย่างหนักก็คือ ผู้ที่ไหลไปตามกระแสแห่งความหลอกลวงนี้มิใช่เฉพาะสตรีที่ไม่มีความรู้ทาง ศาสนาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสตรีที่มีความรู้เรื่องศาสนาด้วยอาจ เป็นเพราะว่าอิสลามที่พวกเขายึดถือเป็นอิสลามสมัยใหม่เสียแล้ว ซึ่งมันมีท่าทีประการหนึ่งว่าเหมาะสมกับทัศนคติทางโลกนิยมที่ถูกเผย แพร่อย่างกว้างขวางแถบทุกตารางนิ้ว
นักคิดอย่าง กอเซ็ม อามีน , เชคคอลิด มูหัมหมัด คอลิด , ดุรรียะฮฺ ศอฟิก ลุตฟี , อัซซัยยิด ฏอฮา ฮูเซ็น , ซัยยิด อามีร อาลี , เมาลานา มูหัมหมัด อาลี ลาโฮร์ , ซิยาร์ โกคัลป์ , มุสตาฟา เคมาล อตาเตริก , อดีบะตุซซะมาน วาฮานี , ราเด็น อัดเจง การ์ดนี , อัซ ซัยยิด เชค อัลฮาดี และคนอื่น ๆ ที่เป็นพวกสมัยนิยม เช่นเดียวกับบรรดาอูลามาอฺที่อยู่ในตำแหน่งรัฐบาลจัดให้ บุคคลเหล่านี้แหละที่เป็นตัวจักรในการปลดปล่อยสตรีภายประชาชาติอิสลาม และความพยายามของพวกเขาได้รับการปรบมือจากบรรดาผู้ปฏิเสธจากมิตรชาวตะวันตก เช่น ซามูเอล สุวัยเมอร์ , เคนเนช แครก , วิลเฟรด คอนเวล , และบุคคลอื่น ๆ จากนักบูรพาคดี


ภาระหน้าที่ของเรา
จงเป็นพยานเถิด โอ้ ประชาชาติที่ประกาศตัวเองว่าเป็นอิสลาม ถึงการร่วมมือร่วมใจยืนอยู่บนแถวเดียวกันเพื่อทำลายล้างอัลอิสลาม แม้ว่าพวกเขาจะมาจากชาติพันธ์เทือกเขา เหล่ากอ และแนวความคิดที่แตกต่างกันแต่พอถึงการทำลายอิสลามพวกเขากลับมาร่วมมือกัน เป็นหนึ่งเดียว ทำไมที่เรายังไม่สำนึกถึงความจริงข้อนี้บ้างหรือ เรายังต้องการใช้ชีวิตที่สนุก ๆ โดยปล่อยเวลาไปกับกิจกรรมที่ไร้สาระกันต่อไปอีกหรือ เรารู้สึกเพียงพอกับการนับลูกตัสเบี๊ยะฮฺบนพรมละหมาด โดยไม่สนใจถึงสถานการณ์ภายนอก แท้จริงแล้วพวกเราและพวกที่มัวเมากับทางโลกจะไม่สำนึกต่อสถานการณ์เหล่านี้ หรอก และนี่คือโรคร้ายที่กำลังระบาดอยู่ในประชาชาติอิสลามปัจจุบัน ดังที่ได้รับคำยืนยันจากลูกศิษย์ของญะมาลุดดีน อัลอัฟฆอนี คือ อะมีร ชะกีบ อัรสลาน เมื่ออธิบายถึงสาเหตุของความตกต่ำของประชาชาติทุกวันนี้ ความตกต่ำของเราจริง ๆ แล้วมิใช่มีสาเหตุมาจากความด้อยในเรื่องทรัพย์สิน เพราะผู้นำในยุคแรกหรือยุคของท่านรอซูลลุลอฮฺ (ศ็อลฯ) ประสบความยากจนค้นแค้นมากกว่าเรา แต่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า พวกเขาสามารถครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกเอาไว้ได้ แท้ จริงแล้ว ความตกต่ำของประชาชาติอิสลามยุคนี้เป็นเพราะว่าเขาเสียดายทรัพย์สินที่จะใช้ จ่ายในหนทางของอิสลาม แม้ว่าตามรูปการแล้วเขาจะเป็นผู้ภักดี และแสดงออกถึงนิสัยชอบบริจาคและอะมัลญยะรียะฮฺ แม้ ว่าจะมีมุสลิมจำนวนไม่น้อยที่ร่ำรวยด้วยทรัพย์สิน มีรายได้จากทางการค้า และอื่น ๆ แม้กระนั่นก็ตาม เมื่อถึงการเสียสละ ในวิถีทางของอัลลอฮฺ มันกลับเป็นเรื่องที่น่าสมเพชยิ่งที่เขาไม่เห็นในความสำคัญของการใช้จ่ายดังกล่าว


เขียนโดย : อับดุลรอชีด เจะมะ

 

 


Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).