Loading

 

อิสลามกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

         เนื่องจากมีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติจากน้ำมือของมนุษย์ และการทำลายนั้นมีความรวดเร็วและรุนแรงเกินกว่าธรรมชาติจะฟื้นฟูด้วยตัวเอง ดังนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องมีการรณรงค์ให้ทุกคนในสังคมช่วยกัน อนุรักษ์ และมีจิตสำนึกอย่างจริงจังก่อนที่จะส่งผลกระทบเลวร้ายไปกว่านี้

        ในทัศนะอิสลาม มนุษย์มีหน้าที่บริหารจัดการโลกนี้ให้เป็นไปตามความประสงค์ของพระองค์ มนุษย์เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จรรโลงสังคมสู่การพัฒนาและความเจริญ ถึงแม้มนุษย์จะมีสติปัญญาและมีสามัญสำนึกในการทำความดี แต่บางครั้งมักถูกชักจูงด้วยอารมณ์ใฝ่ต่ำ และความต้องการที่ไม่มีวันสิ้นสุด เป็นเหตุให้มนุษย์ทำลายสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบข้าง หรือแม้กระทั่งตนเอง อัลลอฮ์ ได้ตรัสในอัลกุรอานความว่า :

“และหากว่าความจริงได้ คล้อยตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขาแล้ว ชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินรวมทั้งบรรดาสรรพสิ่งที่อยู่ในนั้นต้องเสีย หายอย่างแน่นอน” (อัลกุรอาน 23:71)

        จึงมีความจำเป็นที่ต้องมีกฎกติกาเพื่อสามารถโน้มน้าว ให้รู้จักการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนสามารถใช้ชีวิตร่วมกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับวัฒนธรรม และวิถีชีวิตอย่างกลมกลืนและยั่งยืน

อิสลามจึงเป็นกฏสากลที่วางกรอบให้มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ดังต่อไปนี้

        1. อิสลามให้มนุษย์ได้รับรู้ต้นกำเนิดของตนเอง และรับรู้ภารกิจหลักในการกำเนิดมาบนโลกนี้ เขาไม่มีสิทธิที่จะแสดงอำนาจตามอำเภอใจและสร้างความเดือดร้อนแก่สิ่งรอบข้าง แม้กระทั่งตนเอง ภารกิจประการเดียวของมนุษย์บนโลกนี้คือการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ทุกกิจการงานไม่ว่าทั้งเปิดเผยและที่ลับ ส่วนตัวหรือส่วนรวม ล้วนแล้วต้องมีความโยงใยและสอดคล้องกับคำสอนของอัลลอฮ์ เพราะการกระทำจะเป็นตัวชี้วัด ที่บ่งบอกถึงความศรัทธาต่ออัลลอฮ์ที่แท้จริง ในขณะเดียวกัน การศรัทธาจะเป็นกุญแจดอกแรกสำหรับไขประตูสู่การยอมจำนนเป็นบ่าวผู้เคารพ ภักดี

        2. ความรู้ที่ถูกต้องคือสะพานเชื่อมที่ทำให้มนุษย์รู้จักใช้ชีวิตในฐานะบ่าวของ อัลลอฮ์ ความรู้ที่ถูกต้องจะไม่ขัดแย้งกับสติปัญญาอันบริสุทธิ์ ในขณะที่สติปัญญาและความรู้ จำเป็นต้องได้รับการชี้นำจากคำวิวรณ์ของอัลลอฮ์ ที่ได้รับการขยายความและประมวลสรุปโดยจริยวัตรของนะบีมุฮัมมัด

        ดังนั้นการแสวงหาความรู้จึงเป็นหน้าที่หลักของมุสลิมโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ เพศ ช่วงอายุ เวลา สถานที่และสถานการณ์ ความรู้ที่ถูกต้องและสติปัญญาได้เป็นเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์รู้จักใช้ ชีวิตร่วมกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย อ่อนน้อมถ่อมตน และความพอเพียงที่อยู่บนพื้นฐานของหลักการสันติภาพอันแท้จริง

        พึงทราบว่า การภักดีต่ออัลลอฮ์ โดยปราศจากความรู้ (ไม่ว่าในระดับใดก็ตาม) ย่อมเกิดโทษมหันต์ ยิ่งกว่าก่อประโยชน์อันอนันต์ โดยเฉพาะหากการภักดีต่ออัลลอฮ์นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องและสร้างผลกระทบกับผู้คน ส่วนรวม

        3. มนุษย์มีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือสรีระร่างกาย สติปัญญา และจิตวิญญาณ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการแยกส่วน อิสลามได้คำนึงถึงองค์ประกอบด้วยมุมมองที่สมดุลย์และยุติธรรม ทุกองค์ประกอบจะต้องได้รับการดูแลพัฒนาอย่างเท่าเทียม แม้แต่แนวคิดเล็กๆ ที่จุดประกายโดยเศาะฮาบะฮ์กลุ่มหนึ่งมีแนวคิดที่จะปลีกตัวออกจากสังคม กลุ่มหนึ่งไม่ยอมแต่งงาน กลุ่มสองจะถือศีลอดตลอดทั้งปี และกลุ่มสามจะดำรงการละหมาดตลอดเวลาโดยไม่พักผ่อน เพื่อจะได้มีเวลาในการบำเพ็ญตนต่ออัลลอฮ์โดยไม่มีสิ่งอื่นรบกวนทำลายสมาธิ แต่เมื่อนะบีมุฮัมมัด ทราบข่าวจึงเรียกเศาะฮาบะฮ์ทั้งสามกลุ่มนั้นมาเพื่อตักเตือนและสั่งสอนพวก เขาว่า

“ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮ์ แท้จริงฉันเป็นผู้ยำเกรงอัลลอฮ์มากที่สุดในหมู่สูเจ้า ฉันถือศีลอดแต่บางวันฉันก็ทานอาหาร ฉันละหมาดและฉันผักผ่อน และฉันแต่งงาน ใครก็ตามที่ไม่ประสงค์ดำเนินรอยตามจริยวัตรของฉัน เขาเหล่านั้นมิใช่เป็นส่วนหนึ่งของฉัน” (รายงานโดย มุสลิม)

         อิสลามจึงให้ความสำคัญในการรักษาความสมดุลย์ในร่างกายมนุษย์ องค์ประกอบทุกส่วนต้องได้รับสิทธิ์อย่างเท่าเทียมกัน มีหน้าที่ที่สอดคล้องกับสัญชาติญานโดยไม่มีการรุกล้ำหรือสร้างความเดือดร้อน ซึ่งกันและกัน

         4. มนุษย์คือส่วนหนึ่งของสังคมที่ไม่สามารถปลีกตัวออกจากกันได้ หน้าที่สำคัญนอกเหนือจากความรับผิดชอบต่อตนเองแล้ว เขาต้องรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ทั้งนี้เพราะปรากฏการณ์ในสังคมที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ไม่ว่าด้านบวกหรือ ด้านลบ ย่อมมีผลกระทบต่อสมาชิกในสังคม ดังหะดีษบทหนึ่งที่นะบีมุฮัมมัด กล่าวไว้ความว่า

“ได้อุปมาผู้คนในสังคมที่มี หน้าที่ปกป้องบทบัญญัติของอัลลอฮ์ เสมือนผู้ที่อยู่ในเรือลำเดียวกัน ผู้ที่อยู่ชั้นล่างมักขอความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่ชั้นบนในการให้น้ำเพื่อ บริโภค จนกระทั่งผู้ที่อยู่ชั้นล่างเกรงใจ เลยฉุกคิดว่าหากเราทุบเรือเป็นรูโหว่เพียงเล็กน้อยเพื่อสะดวกในการรับน้ำก็ จะเป็นการดี เพราะเพื่อนๆ ที่อยู่ชั้นบนจะไม่เดือดร้อน ซึ่งหากผู้คนชั้นบนไม่หักห้ามหรือทักท้วงการกระทำดังกล่าว พวกเขาก็จะจมเรือทั้งลำ แต่ถ้ามีผู้คนหักห้ามไว้ พวกเขาก็ปลอดภัยทั้งลำเช่นเดียวกัน” (รายงานโดยบุคอรี)

         อิสลามจึงห้ามมิให้มีการรุกรานหรือสร้างความเดือด ทรัพยากรมนุษย์จำเป็นต้องได้รับการรักษาและอนุรักษ์ไว้โดยไม่คำนึงถึงศาสนา ชนชาติ และเผ่าพันธุ์ อิสลามถือว่าการมลายหายไปของโลกนี้ยังมีสถานะที่เบากว่าบาปของการหลั่งเลือด ชีวิตหนึ่งที่บริสุทธิ์ อิสลามจึงประณามการกระทำที่นำไปสู่การทำลายในทุกรูปแบบ ดังอัลลอฮ์ ได้กล่าวไว้ ความว่า

“และเมื่อพวกเขาหันหลังไปแล้ว เขาก็เพียรพยายามในแผ่นดินเพื่อก่อความเสียหายและทำลายพืชผลและเผ่าพันธุ์ และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบการก่อความเสียหาย” (อัลกุรอาน 2 : 205 )

         5. การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้านสังคมและสุขภาพ อิสลามส่งเสริมให้มนุษย์กระทำคุณงามความดีและสร้างคุณประโยชน์ต่อสังคม ดังปรากฏในหะดีษ ความว่า

“อีมานมี 70 กว่า หรือ 60 กว่าสาขา สุดยอดของอีมาน คือคำกล่าวที่ว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และอีมานที่มีระดับต่ำสุดคือ การเก็บกวาดสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใช้บนถนนหนทาง” ( รายงานโดยมุสลิม )

         การเก็บกวาดขยะสิ่งปฏิกูลและสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใช้บนถนนหนทาง ถึงแม้จะเป็นขั้นอีมานที่ต่ำสุด แต่หากผู้ใดกระทำอย่างบริสุทธิ์ใจและหวังผลตอบแทนจากความโปรดปรานของอัลลอฮ์ แล้ว เขาจะได้รับการอภัยโทษจากอัลลอฮ์ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเข้าสวรรค์ ดังหะดีษบทหนึ่งความว่า อบูฮุร็อยเราะฮ์เล่าว่า ฉันได้ยินท่านนะบีมุฮัมมัด กล่าวว่า

“แท้ จริงฉันเห็นชายคนหนึ่งกำลังพลิกตัวในสวรรค์ เนื่องจากเขาเคยตัดทิ้งต้นไม้ที่ล้มทับบนถนน เพื่อมิให้สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คนที่สัญจรไปมา” (รายงานโดยมุสลิม)

         อิสลามห้ามมิให้ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทั้งน้ำนิ่งหรือน้ำไหล การถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะในแหล่งน้ำ ถือเป็นการกระทำที่ถูกสาปแช่ง ดังหะดีษที่เล่าโดยมุอาซบินญะบัลเล่าว่า นะบีมุฮัมมัด กล่าวว่า

“จงยำเกรงสถานที่ที่เป็น สาเหตุของการสาปแช่ง ทั้ง 3 แห่ง คือ การถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะใน(1)แหล่งน้ำ (2)บนถนนที่ผู้คนสัญจรไปมา และ(3)ใต้ร่มเงา” ( รายงานโดยเฏาะบะรอนีย์ )

ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ทุกกิจการของมนุษย์จะต้องอยู่ภายใต้กฏกติกาที่นะบีมุฮัมมัด ได้กำหนดว่า “ไม่มีการสร้างความเดือดร้อนและไม่มีการตอบโต้ความเดือดร้อนด้วยการสร้าง ความเดือดร้อนทดแทน” ( รายงานโดยอีมามมาลิก)

         6. อิสลามกำชับให้มุสลิมทุกคนมีจิตใจที่อ่อนโยน ให้เกียรติทุกชีวิตที่อยู่รอบตัว โดยเฉพาะชีวิตมนุษย์ อิสลามจึงห้ามการทรมานสัตว์ และการฆ่าสัตว์โดยเปล่าประโยชน์ อิสลามสอนว่า

“หญิง นางหนึ่งต้องเข้านรกเพราะทรมานแมวตัวหนึ่งด้วยการจับขังและไม่ให้อาหารมัน จนกระทั่งแมวตัวนั้นตายเพราะความหิว” ( รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม)

ในขณะเดียวกัน “ชายคนหนึ่งเข้าสวรรค์เนื่องจากรินน้ำแก่สุนัขจรจัดที่กำลังกระหายน้ำ อิสลามถือว่า การให้อาหารแก่ทุกกระเพาะที่เปียกชื้น ( ทุกสิ่งที่มีชีวิต ) เป็นการให้ทานประการหนึ่ง” ( รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม)

มุสลิมไม่กล้าแม้กระทั่งฆ่านกตัวเดียวโดยเปล่าประโยชน์ เพราะตามหะดีษที่รายงานโดยอันนะสาอีย์และอิบนุหิบบาน กล่าวไว้ความว่า

“ใครก็ตามที่ฆ่านกตัวหนึ่งโดย เปล่าประโยชน์ นกตัวนั้นจะร้องตะโกนประท้วงในวันกิยามะฮ์ พร้อมกล่าวว่า โอ้อัลลอฮ์ ชายคนนั้นได้ฆ่าฉันโดยไม่มีวัตถุประสงค์อื่นใด เขาฆ่าฉันโดยมิได้หวังประโยชน์อันใดจากฉันเลย”

เคาะลีฟะฮ์อบูบักรเคยสั่งเสียแก่จอมทัพอุซามะฮ์ ก่อนที่จะนำเหล่าทหารสู่เมืองชามว่า “ท่านทั้งหลายอย่าได้ตัดทำลาย ต้นไม้ที่ออกดอก ออกผล อย่าเข่นฆ่าแพะ วัว หรืออูฐ เว้นแต่เพื่อการบริโภคเท่านั้น”

         มนุษย์ผู้ซึมซับคำสอนเหล่านี้ จะไม่เป็นต้นเหตุของการทำลายป่าไม้ การตายของปลานับล้านตัวในแม่น้ำหรือทะเล หรือสร้างความเดือดร้อนแก่สรรพสัตว์ที่ใช้ชีวิตในป่า เพราะถ้าเขาสามารถใช้อิทธิพลหลบหลีกการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีบนโลกนี้ แต่เขาไม่มีทางหลบพ้นการถูกสอบสวนจากอัลลอฮ์ ผู้ทรงเกรียงไกรในวันอาคิเราะฮ์อย่างแน่นอน

         อิสลามยังกำชับให้มุสลิมตระหนักและให้ความสำคัญกับการปลูกต้นไม้ การเพาะปลูก ณ ที่ดินร้าง การพัฒนาที่ดินเพื่อเป็นแหล่งประกอบอาชีพ โดยยึดหลักความยุติธรรม ความสมดุล และความพอเพียง

         7. อิสลามประณามการใช้ชีวิตที่สุรุ่ยสุร่าย ฟุ้งเฟ้อ โดยถือว่าการสุรุ่ยสุร่ายเป็นญาติพี่น้องของชัยฏอน ( เหล่ามารร้าย ) นะบีมุฮัมมัด ได้ทักท้วง สะอัดที่กำลังอาบน้ำละหมาดโดยใช้น้ำมากเกินว่า

“ทำไม ถึงต้องใช้น้ำมากถึงขนาดนี้โอ้สะอัด ? สะอัดจึงถามกลับว่าการใช้น้ำมาก ๆ เพื่ออาบน้ำละหมาด ถือเป็นการฟุ่มเฟือยกระนั้นหรือ ? นะบีมุฮำหมัด จึงตอบว่า ใช่ ถึงแม้ท่านจะอาบน้ำละหมาดในลำคลองที่กำลังไหลเชี่ยวก็ตาม” ( รายงานโดยฮากิม )

         หากการใช้น้ำมากเกินเพื่ออาบน้ำละหมาดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำอิบาดะฮ์ (การเคารพภักดี ) ยังถือว่าฟุ่มเฟือย ดังนั้นมุสลิมทุกคนพึงระวังการใช้น้ำเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ในชีวิตประจำวัน

         คำสอนของอิสลามได้กล่าวถึงการจัดระเบียบ ให้มนุษย์รู้จักการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับตนเอง สังคม สิ่งแวดล้อม โดยถือว่าเป็นภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ และร่วมมือกันปกป้องอนุรักษ์ เพื่อพัฒนาชีวิตที่ครอบคลุมและสมบรูณ์ มีความผูกพันอย่างแนบแน่นกับผู้ทรงสร้างสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารจัดการและผู้จัดระเบียบสากลจักรวาลอันเกรียงไกร อิสลามเชื่อว่าผู้ที่สามารถทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมก็คือ “มนุษย์” นั่นเอง ดังอัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า

“การบ่อนทำลาย ได้เกิดขึ้นทั้งทางบกและทางน้ำ เนื่องจากการกระทำด้วยน้ำมือของมนุษย์” ( อัลกุรอาน 30 : 41 )

         ภารกิจหลักของมุสลิม คือการเอื้ออำนวยให้เกิดระบบและกระบวนการสันติสุขบนโลกนี้ที่สามารถสัมผัส ได้ในชีวิตจริง ซึ่งถือเป็นเจตนารมณ์อันสูงส่งของอิสลาม ดังอัลกุรอานได้กล่าวไว้ ความว่า

“และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่สากลจักรวาล”( อัลกุรอาน21: 107)


โดย มัสลัน  มาหะมะ

http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=55&id=1005

Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).