Loading

 

มาตรการป้องกันการซินา (การมีเพศสัมพันธ์นอกสมรส) 1

     1 การมีอีมานที่มั่นคง

      อีมาน ในที่นี้หมายถึง ความเชื่อศรัทธาที่ฝังรากลึก การกล่าวโดยวาจาและการปฏิบัติตามหลักศาสนาบัญญัติ อิมามอัลบุคอรีย์ได้กล่าวว่า

“ฉันได้พบเจอนักวิชาการ มากกว่า 1,000 คน แต่ละท่านได้มีความคิดเห็นพ้องต้องกันว่า อีมานคือคำพูดและการกระทำรวมกัน อีมานมีเพิ่มและมีลด” (อุศูลุลอีมาน3/58)

      ด้วยเหตุนี้หากผู้ใดเหินห่างจากการกระทำความดีและไม่สนใจปฏิบัติตามคำสอนของ ศาสนา อาทิเช่น ละหมาด อ่านอัลกุรอาน ทำความดีต่อพ่อแม่ เชื่อมสัมพันธ์ที่ดีในหมู่เครือญาติ เป็นการง่ายมากสำหรับผู้ละเลยที่จะตกหลุมพรางแห่งอบายมุขและกระทำบาปได้ทั้ง ปวง

      อีมานที่มั่นคงจึงเป็นเกราะกำบังที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันมิให้ เกิดการผิดประเวณี(ซินา) นะบีมุฮัมมัด ได้กล่าวความว่า

“ไม่มีใครหาญกล้าที่จะกระทำ ซินา ตราบใดที่เขาเป็นผู้ศรัทธา

และไม่มีใครที่หาญกล้าดื่ม เหล้า ตราบใดที่เขาเป็นผู้ศรัทธา

และไม่มีผู้ใดที่หาญกล้าขโมย ตราบใดที่เขาเป็นผู้ศรัทธา”

(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์/5578)

      การระบาดและแพร่หลายของซินาในปัจจุบันไม่ใช่เป็นเพราะ มนุษย์ขาดการศึกษา ไม่รู้พิษภัยและผลกระทบของซินา ไม่ได้หมายความว่าสังคมนั้นไม่มีกฎหมายหรือบทลงโทษสำหรับผู้กระทำซินา แต่เนื่องจากการบกพร่องทางจิตวิญญาณ การเกิดโรคอีมานที่อ่อนแอ โรคอัมพาตทางความศรัทธา ไม่เกรงกลัว และไม่ยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ไม่รู้สึกละอายต่อบาป ยึดอารมณ์ใฝ่ต่ำของตนเองเป็นพระเจ้า ท้ายสุดแล้วเขาจะประสบกับความพ่ายแพ้และจมปลักดำดิ่งลงในหลุมพรางของชัยฏอน ด้วยการทำผิดประเวณี(ซินา) (ขออัลลอฮ์ทรงคุ้มครองให้พี่น้องเรารอดพ้นจากสิ่งเหล่านี้)

2 การทำความดี (อะมัลศอลิห์)

     มนุษย์มี 2 ประเภท

     ประเภทแรกคือผู้ที่อุทิศชีวิต นี้เพื่อทำความเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ เผยแพร่ความดี ยึดมั่นในหลักคำสอนของศาสนา สั่งใช้ให้กระทำแต่สิ่งดีงามและห้ามปรามความชั่วร้ายต่างๆ

     ประเภท ที่สองคือผู้ที่จมปลักในทะเลอบายมุข ฝ่าฝืนคำสอนของอัลลอฮ์ สั่งใช้ให้กระทำแต่ความชั่วร้าย ห้ามปรามและสกัดกั้นสิ่งดีงาม หมกมุ่นอยู่ในอารมณ์ใฝ่ต่ำ เป็นทาสรับใช้ของชัยฏอนและบรรดาเจว็ดทั้งหลาย

อัลลอฮ์ ตรัสว่า

“บรรดามุนาฟิกชาย และบรรดามุนาฟิกหญิงนั้นบางส่วนของพวกเขาต่างมาจากอีกบางส่วน

ซึ่งพวกเขาจะใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ชอบและห้าม ปรามในสิ่งที่ชอบ และกำมือของพวกเข้าไว้(ตระหนี่ขี้เหนียว)

โดยที่พวกเขาลืม อัลลอฮ์ แล้วพระองค์ก็ทรงลืมพวกเขาบ้าง แท้จริงบรรดามุนาฟิกนั้นพวกเขาคือผู้ละเมิด”

(อัตเตาบัฮฺ : 67)

“และบรรดามุมิ นชาย และบรรดามุมินหญิงนั้น บางส่วนของพวกเขาต่างเป็นผู้ช่วยเหลืออีกบางส่วน

ซึ่งพวกเขาจะใช้ ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ชอบและห้ามปรามในสิ่งที่ไม่ชอบ

และพวกเขาจะดำรง ไว้ซึ่งการละหมาดและจ่ายซะกาต และ ภักดีต่ออัลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์

ชนเหล่านี้แหละ อัลลอฮ์จะทรงเอ็นดูเมตตาแก่พวกเขา แท้ จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ”

(อัตเตาบะฮ์ : 71)

       ทุกครั้งที่มนุษย์คิดดี พูดดี ทำดี เขาจะห่างไกลจากสิ่งชั่วร้าย หากเราไม่ใช้ชีวิตเพื่อกระทำความดีแล้วไซร้ แน่นอนชีวิตนั้นย่อมกระทำความชั่วร้ายและสนองต่ออารมณ์ใฝ่ต่ำ ดังนั้นใครที่ตั้งใจให้ตนเองรอดพ้นจากภัยซินา ก็จงรีบทำความดี ยึดมั่นในหลักศาสนา ปฏิบัติตามศาสนบัญญัติอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การละหมาด การถือศีลอด อ่านอัลกุรอาน รำลึกถึงอัลลอฮ์ (ซิกิร์) ขอพระต่ออัลลอฮ์(ดุอาอ์) การมีมิตรที่ดีมีคุณธรรม อยู่ภายใต้สภวะแวดล้อมที่ดี เพราะการทำความดีจะเป็นกำแพงแกร่งที่มีประสิทธิภาพมิให้ตกหลุมพรางจากการทำ ผิดประเวณี(ซินา)

      จงทำให้ตารางในชีวิตประจำวัน เต็มไปด้วยกิจกรรมที่มีสารประโยชน์ จงระวังอันตรายจากเวลาว่าง และการอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะชัยฏอนมันจะไม่ปล่อยให้มนุษย์ดำเนินวิถีชีวิตอย่างสงบ โดยปราศจากการล่อลวงจากพลพรรคของมันอย่างแน่นอน

3 ฮิญาบ

       อิสลามให้เกียรติสตรีและวางกฎระเบียบในการป้องกันความบริสุทธิ์ของสตรีไว้ อย่างสมบูรณ์ ไม่มีระบบใดที่วางมาตรการในการปกป้องสตรีมิให้ตกเป็นเหยื่ออารมณ์ตัณหาของ ฆาตรกรและ ปัญหาทางอาชญากรรมได้ดีกว่าในศาสนาอิสลาม ด้วยเหตุนี้ผู้มีอคติและผู้ที่ไม่หวังดีต่ออิสลามจึงมักใช้ประเด็นฮิญาบเป็น เครื่องมือโจมตีว่า อิสลามไม่ให้เกียรติสตรี ดูถูกเหยียดหยามสตรี พวกเขาจะป่าวประกาศ หาข้อโต้แย้งโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สตรีมุสลิมปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ ซึ่งเป็นกำแพงแกร่งที่อิสลามได้มอบไว้ให้กับเหล่าสตรีมุสลิม ฮิญาบได้เป็นหัวข้อที่ผู้ไม่หวังดีมองว่าเป็นการปิดกั้น ลดฐานะ กักขัง แต่สำหรับสตรีมุสลิมผู้สวมใส่ฮิญาบ กล่าวว่านี่คือการให้เกียรติ และเป็นการประกาศความหลุดพ้นจากระบบทาส ฮิ ญาบเป็นอาภรณ์แห่งความยำเกรง(ตักวา) เมื่อผู้สวมใส่ได้รับรู้ถึงความสำคัญและคุณค่าของมันอย่างแท้จริง

       ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การแต่งกายของสตรีโดยในกลุ่มวัยรุ่นสมัยปัจจุบันที่นิยมสายเดี่ยว เกาะอก นุ่งน้อยห่มน้อย เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอาชญากรรมรุนแรงทางเพศ ทุกฝ่ายได้ตระหนักในเรื่องนี้ดี และมีความเห็นเหมือนกันว่าหนทางที่จะบรรเทาปัญหานี้ได้ ด้วยการให้สตรีแต่งกายอย่างมิดชิด แต่การรณรงค์กลับกลายเป็นสิ่งที่พูดง่ายแต่ทำยาก แม้กระทั่งในสถานศึกษาโดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษาที่พูดได้ว่าล้มเหลวกับการ จัดระเบียบการแต่งกายของนักศึกษาหญิงให้เป็นไปตามกฎระเบียบของสถาบันและขนบ ธรรมเนียมอันดีงาม หากผู้ที่เป็นปัญญาชน ยังมีประพฤติกรรมที่สวนทางกับธรรมเนียมอันดีงามแล้ว จะไปหาคนดีได้ที่ไหนเล่า สถาบันอุดมศึกษากลับกลายเป็นสถาบันอุดมอบายมุข และสถาบันแห่งความล้มเหลวของระบบการจัดการ แค่เรื่องเสื้อผ้าของนักศึกษายังไม่สามารถควบคุมได้ แล้วสังคมจะมีอนาคตที่ดีต่อไปได้อย่างไร

       กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ทำให้สังคมปัจจุบันขาดภูมิคุ้มกันทางความคิด บกพร่องทางจิตวิญญาณ และวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกโดนสั่นคลอน เยาวชนซึ่งกำลังตกอยู่ในวังวนแห่งความชั่วร้าย เสพ เซ็กส์ ก้าวร้าวและรุนแรง หากปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องซ้ำๆ ซากๆ มันจะกลายเป็นความเคยชิน ชินชา จนเกิดค่านิยมที่ผิด แฟชั่นการแต่งกายที่ไร้ความยางอายของมนุษย์และการแสดงออก ทางเพศอย่างเสรี กำลังคืบคลาน ยั่วยุอารมณ์ของหนุ่มสาว และกำลังสั่นคลอนอีมานอันบริสุทธิ์ของเยาวชนมุสลิม อิสลามและผู้ที่ศรัทธาในอิสลามเท่านั้น ที่จะสามารถยืนหยัดต่อสู้มิให้คล้อยตามกระแสแฟชั่นนิยมซึ่งหากดูเพียงแต่ภาย นอกแล้วมันคือความอิสระ ความสุข และการให้เกียรติ แต่เบื้องหลังมันได้กลายเป็นบ่วงพันธนาการ ความระทมทุกข์ และการย่ำยีศักดิ์ศรีของเพศแม่อย่างรุนแรงที่สุด

4 การแยกที่นอนระหว่างลูกๆ

      อิสลามได้มีมาตรการป้องกันมิให้ลูกๆ หมกมุ่นในเรื่องเพศหรือมองเห็นอวัยวะอันพึงสงวนของเพศตรงกันข้าม โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ถึงแม้จะเป็นเพียงพี่น้องหรือพ่อแม่ ด้วยเหตุนี้อิสลามจึงกำชับให้พ่อแม่ แยกที่นอนกับลูกเมื่ออายุ 10 ขวบ ดังหะดีษ ความว่า

“ท่านทั้งหลายจงสั่งกำชับลูกๆ ของท่านให้ละหมาดเมื่อพวกเขามีอายุ 7ขวบ

และจงเฆี่ยนตี(ด้วย ความอ่อนโยน)พวกเขาเมื่อถึงอายุ 10 ขวบ และจงให้พวกเขาแยกที่นอนกัน”

(บันทึกโดยอะบูดาวูด/495)

      มาตรการในลักษณะนี้ ได้สวนทางกับทฤษฎีบูชาอารมณ์ที่พยายามปลูกฝังให้บุตร หลาน เข้าใจเรื่องเพศศึกษาตั้งแต่เยาว์วัย โดยให้เหตุผลว่าเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนในการมีเพศสัมพันธ์อย่าง ปลอดภัย แต่ความเป็นจริงนี่คือวิธีการ ชี้โพรงให้กระรอก ปลูกฝังให้เด็กหมกมุ่นกับเรื่องเพศตั้งแต่แบเบาะอย่างแนบเนียนที่สุด เพื่อตอบสนองลัทธิฟรอยด์ ที่มีแนวคิดว่าเรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เป็นความอิสรเสรีและเป็นพื้นฐานของการพัฒนาการด้านอื่นๆ ซึ่งมนุษย์ได้ วิวัฒนาการมาจากลิงตามกล่าวอ้างของทฤษฎีลวงโลกที่สอนโดย ชาร์ล ดาร์วิน

5 การขออนุญาตเข้าห้อง

      อิสลามกำหนดมาตรการป้องกันมิให้เด็กๆ เห็นภาพที่ไม่เหมาะสมที่อาจเกิดขึ้นจากการคลุกคลีของสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อแม่ ดังนั้นหลังจากที่มีการแยกที่นอนอย่างชัดเจนระหว่างลูกๆ ทั้งชายและหญิง หรือระหว่างพ่อแม่ด้วยกันแล้ว สิ่งที่อิสลามให้ความสำคัญคือการขออนุญาตเข้าห้องนอนของพ่อแม่ ซึ่งลูกๆหรือคนใช้ในบ้านไม่สามารถเข้าห้องคนอื่นโดยพลการ ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่า

“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! จงให้บรรดาผู้ที่อยู่ในความครอบครอง (บรรดาทาสและทาสี) และ

บรรดาผู้ที่ยังไม่บรรลุศาสน ภาวะในหมู่พวกเจ้า ขออนุญาตพวกเจ้าสามเวลาคือ ก่อนเวลาละหมาดฟัจริ

และเวลาพวกเจ้า เปลื้องเสื้อผ้าในเวลากลางวัน(คือเวลาพักผ่อนตอนกลางวัน) และ หลังจากเวลาละหมาดอิชาอ์(คือเวลาก่อนจะเข้านอน)

ทั้งสามนี้เป็น เวลาส่วนตัวสำหรับพวกเจ้า หลังจากนี้แล้วไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกเจ้าและแก่พวกเขา

เพราะพวกเขาวน เวียนรับใช้บางคนในหมู่พวกเจ้า เช่นนั้นแหละอัลลอฮ์ทรงชี้แจงโองการทั้งหลาย

ให้เป็นที่ชัด แจ้งแก่พวกเจ้า และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ และเมื่อเด็กๆ ในหมู่พวกเจ้าบรรลุศาสนภาวะ

จงให้พวกเขาขออนุญาตเช่น เดียวกับบรรดาชนก่อนหน้าพวกเขาได้ขออนุญาต

(จงสอนพวกเขาให้รู้จัก มารยาทอันสูงส่ง ด้วยการขออนุญาตก่อนเข้าห้อง)

เช่นนั้นแหละ อัลลอฮ์ทรงชี้แจงโองการทั้งหลายของพระองค์ให้เป็นที่ชัดแจ้งแก่พวกเจ้า

และอัลลอฮ์เป็น ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ”

(อันนูร: 58-59)

      อายะฮ์ดังกล่าวถือเป็นคำสอนที่มีความละเอียดอ่อนในอิสลาม ซึ่งคนทั่วไปอาจมองเป็นเรื่องเล็กน้อย และทึกทักว่าไม่สมควรที่จะได้รับการกล่าวถึงในคัมภีร์ศาสนา สำหรับอิสลามแล้วการขออนุญาตเข้าห้องแม้กระทั่งภายในบ้านของตนเอง ถือเป็นหนึ่งในสาระสำคัญทางศาสนบัญญัติที่ต้องบันทึกในอัลกุรอาน เพื่อเป็นแบบอย่างสำหรับการใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยจรรยามารยาทอันสูงส่งตลอด ไป


โดย มัสลัน  มาหะมะ

http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=47&id=1633

Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).