Loading

 

ชีวประวัติของศาสนทูต คือแบบอย่างการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีงามกับสังคมมนุษย์

ยุคของศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาสัลลัม) ถือเป็นยุคที่ดีเลิศของมนุษยชาติที่ได้วางรากฐานของการใช้ชีวิตบนโลกนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับมุสลิมในการใช้ชีวิตร่วมกันกับสังคมอื่นในทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบหรือได้เปรียบ อ่อนแอหรือเข้มแข็ง ช่วงพลัดถิ่น (ถูกเนรเทศ)หรือช่วงที่สามารถสร้างรัฐได้อย่างเป็นปึกแผ่น ทุกสถานการณ์ดังกล่าวศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาสัลลัม) สามารถประยุกต์ใช้คำสอนของอิสลามได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอัลกุรอานและซุนนะฮฺอันแท้จริง
ช่วงการใช้ชีวิตของศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาสัลลัม) ท่านได้ประสบพบเห็นและมีโอกาสเข้ามีส่วนร่วมในสถานการณ์อันมากมายและหลากหลาย ท่านเคยเข้าร่วมต่อสู้ในสมรภูมิสงคราม การหย่าศึก ทำสนธิสัญญาหยุดสงคราม สร้างสัมพันธ์ไมตรีอันดีงามกับสังคมระหว่างประเทศ ท่านเคยใช้ชีวิตอันโดดเดี่ยวเนื่องจากการบอยคอตทางสังคม ท่านเคยทนสภาพท่ามกลางกระแสการยุแหย่จากฝ่ายตรงกันข้ามให้เกิดการปะทะทางสังคม ท่านเคยประสบวิกฤตชีวิตจนแทบเอาตัวไม่รอดและท่านเคยใช้ชีวิตในฐานะผู้นำสูงสุดของประเทศที่ฝ่ายตรงกันข้ามเกรงขามและเหล่าทหารหาญเต็มใจที่จะรับคำสั่งจากท่านแม้นว่าต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม ปรากฎการณ์เหล่านั้น นับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่มุสลิมทุกคนต้องศึกษาทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มุสลิมควรตระหนักว่าความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหรือไม่รอบด้านตลอดจนการประยุกต์ใช้หลัก ศาสนบัญญัติที่ไม่ถูกต้อง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมมุสลิมต้องประสบกับภาวะเสื่อมถอยและล้าหลัง
โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุดโลกาภิวัฒน์ที่บีบบังคับให้โลกนี้เปรียบเสมือนเป็นหมู่บ้านเล็กๆ เพียงหมู่บ้านหนึ่งเท่านั้น ยิ่งเพิ่มความจำเป็นต่อการศึกษาและทำความเข้าใจชีวประวัติของศาสนทูต มูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาสัลลัม)ให้ลึกซึ้งและถึงแก่นยิ่งขึ้น
ศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาสัลลัม) เคยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยการส่งสาสน์เชิญชวนผู้นำและองค์ประมุขของแต่ละประเทศให้เข้ารับอิสลาม ท่านเคยอนุญาตบรรดาเศาะฮาบะฮฺ( อัครสาวก) อพยพลี้ภัยไปยังประเทศเอธิโอเปียที่ปกครองโดยกษัตริย์ที่ดำรงไว้ซึ่งคุณธรรม ท่านเคยพำนักพักพิงและอาศัยบ้านของชายชาวฏออิฟที่ชื่อว่า มัฏอัมบินอะดิย์ ซึ่งยังไม่ได้เป็นมุสลิม หลังจากที่ท่านถูกทำร้ายโดยชาวฏออิฟในขณะที่ท่านเดินทางไปเผยแผ่อิสลาม ณ เมืองนั้น ท่านเคยเป็นหนึ่งที่ได้รับความเดือดร้อนจากมติประชาคมชาวกุเรชที่ตัดความสัมพันธ์กับชนตระกูลฮาซิมและตระกูลมุฏฏอลิบ (ซึ่งเป็นต้นตระกูลของศาสนทูตมูฮัมมัด) โดยที่สองตระกูลดังกล่าวไม่ยอมเห็นสภาพท่านศาสนทูตถูกทำร้าย ย่ำยีอย่างไม่ยุติธรรมและพวกเขาพากันประสานสามัคคีปกป้องศาสนทูตในฐานะเป็นคนในตระกูลเดียวกัน โดยที่พวกเขาบางส่วนก็ยังไม่ได้เป็นมุสลิมด้วยซ้ำ แต่พวกเขายอมทนทุกข์ทรมานร่วมทุกข์ร่วมสุขกับศาสนทูตเป็นเวลานานถึง 3 ปี จนกระทั่งพวกเขาที่มีทั้งผู้หญิง คนเฒ่าคนแก่และลูกเล็กเด็กแดงต้องกินใบไม้และหนังสัตว์ที่แห้งกรอบแทนอาหารเพียงเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ
ในขณะที่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮีวาสัลลัม)มีอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น ท่านเคยเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในสัญญาประชาคมที่ชาวกุเรชได้ตกลงร่วมกันว่าจะไม่รุกรานและไม่สร้างความอยุติธรรมระหว่างกัน ทุกคนจะได้รับการปกป้องจากการกดขี่ข่มเหงในสังคม ถึงแม้สัญญาดังกล่าวไม่ใช่เป็นผลงานของท่าน แต่ท่านก็เต็มใจเข้าร่วมเป็นสักขีพยานเพราะเนื้อหาในสัญญาดังกล่าวสอดคล้องกับสิ่งที่อิสลามเรียกร้องตลอดมา เหตุการณ์ดังกล่าวยังคงอยู่ในความทรงจำของท่านตลอดเวลา จนกระทั่งท่านเคยกล่าวในขณะที่อยู่ ณ นครมะดีนะฮฺว่า “ฉันเคยได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานการทำสัญญาประชาคมที่บ้านของอับดุลลอฮฺบินญัดอาน ซึ่งหากฉันได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในสนธิสัญญาที่มีเนื้อหาในลักษณะดังกล่าวอีกครั้ง ฉันก็ยินดีเข้าร่วมอย่างแน่นอน” ท่านกล่าวคำพูดนี้ในขณะที่ท่านเป็นผู้นำสูงสุดที่มีอำนาจล้นฟ้า ณ นครมะดีนะฮฺ
ศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาสัลลัม)ได้สร้างกุศโลบายด้านสันติภาพครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การเผยแผ่อิสลามด้วยการอนุญาตให้บรรดามุสลิมีนที่อาศัยในนครมักกะฮฺอพยพลี้ภัยไปยังนครมะดีนะฮฺ ทั้งๆ ที่ชาวมุสลิมในช่วงนั้นไม่ได้ตกเป็นฝ่ายที่อ่อนแอหรืออยู่ในภาวะที่ไม่สามารถตอบโต้ได้ ประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นได้จารึกว่าหลังจากการเผยแผ่แก่ชาวมักกะฮฺที่ใช้เวลา 13 ปี ชาวกุเรชเกือบทุกเผ่าและตระกูลต่างก็ศรัทธาต่อศาสนาใหม่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเข้ารับอิสลามของ อุษมานบินอัฟฟาน อับดุลรอฮมานบินเอาวฟ อุมัร บิน ค็อฏฏอบ และหัมซะฮฺบินอาบีฏอลิบ ซึ่งถือเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในเผ่าต่างๆ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาสัลลัม) สามารถใช้โอกาสนี้จุดชนวนและเติมเชื้อเพลิงก่อสงครามกลางเมืองได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปลุกปั่นกระแสความอยุติธรรมในสังคมที่ชนชั้นต่ำถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกกดขี่ ข่มเหงจากชนชั้นสูงอย่างไร้มนุษยธรรมตลอดมา แต่ท่านเลือกแนวทางสันติภาพและกำชับให้ศรัทธาชนในช่วงนั้นใช้ความอดทนอย่างสูงพร้อมกล่าวคำสั่งว่า

( ??????? ???????????? ??????????? ????????? ??????? ?????????? ) (???? ??????: ?? ????? 77)

ความว่า : ท่านทั้งหลายจงระงับมือของพวกท่าน (อย่าตอบโต้โดยการใช้กำลัง) และจงดำรงละหมาดและจงบริจาคทานเถิด (4/77)

ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาสัลลัม) เคยเข้าร่วมข้อตกลงในสนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺกับชาวกุเรชโดยในช่วงนั้นเชื้อไฟแห่งสงครามระหว่างสองฝ่ายกำลังลุกโชนอย่างกว้างขวาง กอปรกับเนื้อหาในสนธิสัญญาดังกล่าวโดยรวมแล้วฝ่ายมุสลิมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถึงขนาดบรรดาเศาะฮาบะฮฺส่วนใหญ่แล้วแสดงความไม่พอใจและไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของศาสนทูตในเบื้องต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอุมัร บิน ค็อฏฏอบ แต่ในทัศนะอิสลามแล้ว สนธิสัญญาดังกล่าวถือเป็นยุทธศาสตร์แห่งสันติภาพที่ในอัลกุรอานระบุว่าเป็นชัยชนะอันชัดแจ้งเลยทีเดียว
ภายหลังจากท่านศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาสัลลัม) ได้อพยพสู่นครมะดีนะฮฺ และหลังจากที่ท่านได้วางรากฐานของสังคมใหม่ที่สมานฉันท์และเข้มแข็งแล้ว ภารกิจแรกที่ท่านได้ปฏิบัติก็คือส่งสาสน์ถึงผู้นำและเจ้าเมืองต่างๆ เพื่อประกาศนโยบายของอิสลามที่ยึดมั่นความเป็นภราดรภาพในอิสลาม เป็นประชาชาติอันเดียวกัน มอบสิทธิและหน้าที่ที่พึงได้ให้แก่ชนต่างศาสนิกที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลามโดยเฉพาะชาวยิวที่พำนักอาศัยในนครมะดีนะฮฺ พร้อมกับนำเนื้อหาของสาสน์ดังกล่าวมาปฏิบัติในโลกแห่งความเป็นจริงโดยใช้มาตรฐานหรือมาตรวัดอันเดียวกัน ไม่มีการเลือกปฏิบัติหรือเลือกที่รักมักที่ชัง
หลังจากการเสียชีวิตของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาสัลลัม)บรรดาเคาะลีฟะฮฺผู้ทรงคุณธรรมต่างก็เจริญรอยตามนโยบายของท่านด้วยดีเสมอมา ดังกรณีที่เกิดขึ้นในสมัยเคาะลีฟะฮฺอุมัรที่ได้เปิดเมืองปาเลสไตน์ โดยที่อิสลามได้ให้เกียรติและมอบสิทธิแก่ชนพื้นเมืองในการประกอบพิธีทางศาสนาตามความเชื่ออย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของการพิชิตเมือง
ปรากฏการณ์ดังกล่าวข้างต้น ถือเป็นบรรทัดฐานที่สำคัญสำหรับชาวมุสลิมที่จะต้องยึดเป็นแบบอย่างในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับชนต่างศาสนิก โดยที่บรรดา อุละมาอฺ (ผู้รู้) คือผู้ที่ได้รับมอบหมายชี้แจงและให้ความกระจ่างในข้อปลีกย่อยต่างๆ อย่างเป็นธรรม ถูกต้องและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอิสลาม ทั้งนี้เนื่องจากสังคมประกอบด้วยชุมชนอันหลากหลายทั้งความเชื่อ เจตคติ ศาสนาและชาติพันธุ์ ความหลากหลายในเรื่องดังกล่าวถือเป็นข้อเท็จจริงในทุกสังคม ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของมุสลิมที่จะต้องศึกษาและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อสามารถนำปฏิบัติบทบัญญัติดังกล่าวได้อย่างถูกต้อง
สนธิสัญญาต่างๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้น ถือเป็นคุณค่าอันสูงส่งของอารยธรรมอิสลาม ซึ่งมีอาณาเขตและปริมนฑลอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีใครที่สามารถตีความอารยธรรมอิสลามภายใต้กรอบอันคับแคบหรือมีข้อจำกัดด้านเวลาหรือสถานที่ เว้นแต่ผู้นั้นเป็นผู้ไม่รู้จริงในศาสนาหรือถูกปิดบังด้วยความรู้สึกทิฐิส่วนตัว
มุสลิมทุกคนพึงตระหนักว่า อิสลามสามารถคงอยู่และเผยแพร่ได้ในสังคมอย่างกว้างขวาง ตราบใดที่สังคมนั้นห้อมล้อมด้วยบรรยากาศที่สงบสันติและอิสระเสรี ยามใดที่สังคมเกิดความวุ่นวายและแตกร้าวไปทั่วทุกหัวระแหง มีความรุนแรงและเผชิญหน้าเป็นคู่อริกัน การเผยแผ่อิสลามก็แทบเป็นหมันและไม่สามารถเข้าไปมีบทบาทในจิตใจของผู้คนได้
สนธิสัญญาต่างๆ ที่ได้กระทำไว้ในสมัยศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาสัลลัม)และสมัยบรรดาเคาะลีฟะฮฺผู้ทรงคุณธรรมจึงเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับมุสลิมปัจจุบันทำการศึกษาวิจัยในการกำหนดจุดร่วมเพื่อรังสรรค์กับชนต่างศาสนิกที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์อันแท้จริงของอิสลาม มุสลิมจำเป็นที่จะต้องศึกษาและทำความเข้าใจโจทย์ของสนธิสัญญาดังกล่าว เพื่อสามารถให้คำตอบกับปัญหาปัจจุบันได้อย่างถูกต้องแม่นยำโดยอาศัยการชี้นำของอัลกุรอานที่ได้รับการอรรถาธิบายโดย อุละมาอฺ (ผู้รู้) ทรงคุณธรรม อัลกุรอานได้กล่าวว่า

(???????? ?????????? ?????????? ?????????? ?????? ???? ?????????) (???? ?????: 17)

ความว่า : และโดยแน่นอน เราได้ทำให้อัลกุรอานนี้เป็นที่เข้าใจง่ายแก่การรำลึก แล้วมีผู้ใดบ้างที่รับข้อตักเตือนนั้น ( 54/17 )


โดย มัสลัน มาหะมะ

 

Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).