Loading

 

กลุ่มชนผู้สร้างดุลยภาพและความยุติธรรม

พวกเขาเป็นกลุ่มชนที่สร้างดุลยภาพและความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในทุกที่ที่เขามีชีวิตอยู่ โลดแล่นอยู่บนเส้นทางอันเที่ยงตรง ไม่โอนเอนไปในแนวทางหนึ่งแนวทางใด ไม่จมปลักอยู่กับวัตถุนิยมและไม่มุ่งแต่เฉพาะเรื่องจิตวิญญาณ เรียนรู้สิทธิแห่งพระผู้อภิบาลที่เขาต้องมอบให้ สิทธิที่พึงมีแก่พวกเขาที่จำเป็นจะต้องกระทำ สิทธิที่พึงมีแก่ครอบครัว สิทธิที่พึงมีแก่สังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่ ดังนั้นพวกเขาจะเป็นผู้มอบทุกสิทธิที่ควรค่าแก่สิทธินั้น ปฏิบัติต่อสิ่งที่เป็นฟัรฏูโดยไม่ละเลยสิ่งที่ถูกส่งเสริม เพราะอัลลอฮฺทรงรักใคร่ต่อผู้ที่ปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์ส่งเสริมให้กระทำ เหมือนกับการปฏิบัติอย่างจริงจังในสิ่งที่เป็นฟัรฏู เป็นผู้บอกกล่าวข่าวดี มิใช่เป็นผู้ขู่เข็ญผู้อื่นด้วยข่าวร้าย ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไม่ใช่ใช้ชีวิตอยู่บนความยากลำบากดั่งที่อัลกุรอานได้บอกเล่าพวกเขา แท้จริงนั้นอัลลอฮฺทรงต้องการให้บ่าวของพระองค์มีความสะดวกง่ายดาย ไม่ได้บังคับให้พวกเขาประสบกับความยากลำบาก และไม่ได้ทำให้ศาสนาของพวกเขาเป็นสิ่งที่เกินเลยขอบเขตของความสามารถ พวกเขาสามารถเรียกร้องสู่สาส์นแห่งพระองค์ด้วยกับความนอบน้อมเมตตาไม่ใช่ด้วยความบ้าคลั่ง เชิญชวนด้วยหลักการและเหตุผล มิใช่ทำอย่างคนสิ้นคิด และโต้ตอบด้วยวิธีการแห่งสันติ ประหนึ่งดำรัสแห่งอัลลอฮฺได้วางอยู่เบื้องหน้าพวกเขา “จงเรียกร้องแนวทางแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าโดยสุขุมและการตักเตือนที่ดี และจงโต้ตอบพวกเขาด้วยกับสิ่งที่ดีกว่า” (อัลนะหฺลุ / 125)

พวกเขามองดูผู้ฝ่าฝืนด้วยสายตาของหมอที่มองดูผู้ป่วยที่ต้องได้รับการเยียวยา ไม่ใช่ด้วยสายตาของตำรวจที่ต้องการตะครุบโจรผู้ร้าย ไม่กล่าวหาผู้ฝ่าฝืนว่าเป็นกาฟิร เพราะเขาเกรงกลัวว่ามันจะย้อนคืนสู่ตัวเอง และจะไม่กล่าวตำหนิผู้อื่นว่าพินาศแล้ว ไม่ใส่ไคล้ผู้อื่นแล้วแสดงตนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ดั่งพจนารถของท่านศาสดา “ผู้ที่กล่าวหาผู้อื่นว่าพินาศแล้วดังนั้นความพินาศได้ประสบกับเขา” (รายงานโดยมุสลิม)

พวกเขายอมรับความคิดของผู้อื่นโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หากมันไม่ขัดแย้งกับบทบัญญัติ พวกเขารู้จักแยกแยะระหว่างประเด็นหลักกับข้อปลีกย่อย พวกเขายืนหยัดในหน้าที่หลักอย่างหนักแน่นเหมือนดั่งแผ่นเหล็กกล้า และนุ่มนวลต่อข้อปลีกย่อยเหมือนใยไหม สามารถจำแนกและเรียงลำดับขั้นความสำคัญของงานได้อย่างชัดเจน สามารถตัดสินบ่งชี้(หู่กม)ต่อเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน แม่นยำ บอกได้ว่าคือฟัรฏู หรือสุนัต สิ่งที่หะรอมไม่ปะปนกับสิ่งที่เป็นมักรูห์ แยกบาปใหญ่ออกจากบาปเล็กได้อย่างชัดเจน สิ่งที่มีมติเห็นพ้องจากนักวิชาการว่าเป็นวาญิบ หรือ หะรอม นั้นไม่ได้เป็นเรื่องของความขัดแย้ง ส่วนที่มีหลักฐานยืนยันจากตัวบทชัดเจน แยกออกจากส่วนที่มีหลักฐานโดยการวินิจฉัยจากนักการศาสนา และพวกเขาไม่ได้กระทำตนเป็นผู้อวดรู้ หากทว่าพวกเขาจะกลับไปหาผู้ที่มีความรู้ ผู้เชี่ยวชาญเพื่อไต่ถาม และแน่นอนทีเดียวสำหรับทุกสาขาวิชานั้นย่อมมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะและมีประสบการณ์ ดังที่อายะฮฺอัลกุรอานได้บอกไว้ความว่า “และไม่มีผู้ใดแจ้งแก่พวกเจ้าได้ นอกจากพระผู้ทรงรอบรู้ตระหนักยิ่ง” (ฟาฏิร / 14) “ดังนั้นจงถามผู้รู้เกี่ยวกับพระองค์”(อัลฟุรกอน / 59) “ดังนั้นพวกเจ้าจงถามผู้รู้หากพวกเจ้าไม่รู้” (อัลนะหฺลุ / 43)

พวกเขาไม่ได้หมดเวลาไปกับการโต้เถียงเกี่ยวกับบัญญัติปลีกย่อย(คิลาฟียะฮฺ) หรือตอบโต้กันในเรื่องไร้สาระ พูดกันตั้งแต่เรื่องเลือดยุงจนกระทั่งถึงเหตุการณ์นองเลือดอย่างรุนแรงของหุซัยน์ มุ่งมั่นสร้างสรรค์ไม่ได้หมายมั่นในการทำลาย เรียกร้องสู่การรวมตัว และออกห่างสิ่งที่นำไปสู่ความแตกแยก และสัญลักษณ์แห่งคำประกาศของพวกเขาคือ “เราจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสิ่งที่เราเห็นพ้องกัน และเราจะอภัยซึ่งกันและกันในสิ่งที่เราขัดแย้งกัน”

พวกเขาจะไม่พูดในสิ่งที่พวกญาฮิลียะฮฺพูดกัน “โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดประทานให้แก่เราในโลกนี้เถิด และเขาจะไม่ได้รับส่วนใด ๆ ในโลกอาคีเราะฮฺ” (อัลบากอเราะฮฺ / 200) หากทว่าเขาจะกล่าวในสิ่งที่บรรดาผู้ศรัทธากล่าว “โอ้พระผู้อภิบาลของเราโปรดประทานให้แก่เราซึ่งสิ่งที่ดีงามในโลกนี้ และสิ่งที่ดีงามในอาคิเราะฮฺ และโปรดคุ้มครองพวกเราให้รอดพ้นจากการลงโทษของไฟนรกด้วยเถิด” (อัลบากอเราะฮฺ / 201) แล้วเขาจะวอนขอพรด้วยกับดุอาอฺของท่ารอซูลุลอฮฺ “โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงปรับปรุงเรื่องศาสนาของฉัน ซึ่งมันป้องกันความผิดในกิจการของฉัน และทรงปรับปรุงเรื่องดุนยาของฉัน ซึ่งมันเป็นที่พักของฉัน และทรงปรับปรุงเรื่องอาคีเราะฮฺด้วยเถิด ซึ่งฉันต้องกลับไปหามัน” (บันทึกโดยมุสลิม)

พวกเขาไม่มุ่งต่อการขัดเกลาจิตใจจนกระทั่งเฉยเมยต่อร่างกาย และเช่นกัน ไม่มุ่งแสวงหาความสุขใส่เรือนร่างจนกระทั่งลืมขัดเกลาจิตใจ สร้างความสมดุลระหว่างจิตวิญญาณกับวัตถุ รวบรวมระหว่างความรู้และอีมาน ระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและสมมุติฐาน ระหว่างสติปัญญาอันแยบแหลมกับจิตใจอันบริสุทธิ์ ยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่กับอุดมการณ์ และมีความสมดุลระหว่างการปฏิบัติหน้าที่และสิทธิ ไม่ละทิ้งเหตุการณ์ในอดีตและไม่ตัดขาดจากเหตุการณ์ปัจจุบัน ใจกว้างยอมรับการเปลี่ยนแปลงต่อวิวัฒนาการใหม่ ๆ ในสิ่งที่มีคุณค่าและยังประโยชน์

พวกเขาปฏิบัติต่อหน้าที่และสิทธิที่มีอยู่เหนือพวกเขาก่อนที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นปฏิบัติ เรื่องใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือ “อะไรคือหน้าที่ของฉัน ?” ไม่ใช่ “อะไรที่เป็นสิทธิที่ฉันพึงได้รับ?” กลางวันของพวกเขาเหมือนกับการทำงานของคนทั่วไป แต่ยามค่ำคืนพวกเขาเป็นผู้ศรัทธาคนหนึ่งที่นอบน้อมอย่างที่สุดต่อผู้อภิบาลของพวกเขา จะพบพวกเขาในตอนกลางวันเสมือนนักรบ และจะเจอพวกเขาในตอนกลางคืนในสภาพที่เหมือนนักบวช มีคุณสมบัติเฉกเช่นเดียวกับบรรดากัลยาชนในสมัยท่านรอซูลุลลอฮฺ ยึดแนวทางของชนรุ่นแรกของประวัติศาสตร์อิสลามในการประพฤติความดีงาม ไม่หยิบงานของกลางวันนำไปปฏิบัติกลางคืน หรือนำงานที่ควรทำในเวลากลางคืนมาปฏิบัติในกลางวัน ไม่ให้ความสำคัญสิ่งที่เป็นสุนัต จนกระทั่งละเลยสิ่งที่เป็นฟัรฏู หรือมุ่งเน้นแต่เพียงฟัรฏูหนึ่งแล้วละทิ้งอีกฟัรฏูหนึ่ง

พวกเขารื่นรมย์อยู่กับของฮาลาลจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานมา และสิ่งที่ดีงามจากปัจจัยยังชีพที่พระองค์ได้ทรงมอบให้แก่ปวงบ่าว พวกเขาท่องไปในแผ่นดินเพื่อแสวงหาความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ หากคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขาจำต้องหลับไปในสภาพที่หิวโหยท้องกิ่ว พวกเขาก็จะไม่เหล่ตาคาดหวังไปยังสิ่งที่หะรอม พวกเขามีสติปัญญาพอกับการที่จะไม่แลกซื้อไฟนรกด้วยกับอาหารเพียงหนึ่งคำหรืออารมณ์ใฝ่ต่ำเพียงชั่ววูบ และพวกเขาก็ตระหนักดีถึงผลลัพธ์ของการขายสวรรค์ชั้นบรมสุขด้วยกับปีกของยุง

กลุ่มชนผู้หันเข้าสู่อัลลอฮฺ เพื่อพร่ำขออภัยโทษ
จากคุณลักษณะต่าง ๆ ที่พวกเขาได้กล่าวไว้หมดแล้วนั้น พวกเขายังเป็นกลุ่มชนที่ “กลับเนื้อกลับตัว และพร่ำขออภัยโทษ” พวกเขาจะระมัดระวังตัวเองให้รอดพ้นจากการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอัลลอฮฺมากกว่าระวังผองภัยจากศัตรูของพระองค์และศัตรูของพวกเขาเอง พวกเขาพร่ำวอนขอต่ออัลลอฮฺเป็นนิตย์ พวกเขาเพียงพอต่อสิ่งที่ฮาลาลโดยไม่ตกอยู่ในสายธารของสิ่งที่หะรอม เพียงพอใจต่อการภักดีโดยปราศจากการดื้อดึงฝ่าฝืน พวกเขากลัวต่อการละเมิดที่จะตกผลึกอยู่ในจิตใจของพวกเขามากกว่ากลัวว่ามันจะเกิดแก่ร่างกาย เพราะการละเมิดที่เกิดขึ้นในจิตใจนั้นย่อมตกอยู่ในสภาวะที่อันตรายกว่าร่างกาย เพราะการละเมิดที่เกิดขึ้นในจิตใจนั้นย่อมตกอยู่ในสภาวะที่อันตรายกว่าร่างกาย ส่วนหนึ่ง การคิดว่าตัวเองเด่นกว่าผู้อื่น หลงตัวเอง อยากได้ชื่อเสียง โอ้อวด ชอบได้หน้า มองผู้อื่นในแง่ลบ อิจฉาริษยา อาฆาตเคียดแค้นหรืออาการอื่น ๆ ซึ่งอัลกุรอานและอัลหะดีษได้กล่าวเตือนไว้ ซึ่งท่านอีมามฆอซาลีได้ขนานนามมันว่า “สิ่งที่นำไปสู่ความหายนะ” เพราะมันจะทำให้ความประเสริฐจากการถือศีลอด ผลบุญของการละหมาดและกิยามสูญหาย และมันจะกัดเซาะความดีงามเหมือนดั่งกับไฟเผาฟืน

เป็นการเพียงพอสำหรับพวกเขาต่อการอ่านคำสอนต่าง ๆ แห่งอิสลามอย่างใคร่ครวญ ดังต่อไปนี้ “ผู้ใดที่หัวใจของพวกเขามีเพียงอณูหนึ่งของความโอ้อวด เขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์” (บันทึกโดย มุสลิม) “บุคคลสามจำพวกที่ล่มสลาย คือ ผู้ที่ยอมจำนนต่อความตระหนี่ ผู้ที่ยอมคล้อยตามอารมณ์ของตนเอง และผู้ที่หลงตัวเอง” “แท้จริงเศษเสี้ยวของความโอ้อวด คือ ชิริก” “โรคของประชาชาติที่มาก่อนพวกท่านจะคืบคลานมาหาพวกท่านอย่างช้า ๆ (คือ) อิจฉาริษยา , การอาฆาตเคียดแค้น , ความอาฆาตเคียดแค้นนั้นเหมือนดั่งกับการโกนศีรษะ ...ฉันมิได้กล่าวว่า เป็นการโกนผมออกจากศีรษะ หากแต่ทว่า มันเป็นการตัดออกจากศาสนา” “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงปลีกตัวออกห่างให้หลุดพ้นจากส่วนหนึ่งของการสงสัย แท้จริงการสงสัยนั้นเป็นบาป” (อัลหุญูรอต / 12)

นี่คือจุดยืนของพวกเขาที่มีต่อการฝ่าฝืนละเมิด แท้จริงพวกเขาจะหวาดกลัวมัน จะนำตัวออกห่างจากประตูที่นำไปสู่การละเมิดและห่างจากเส้นทางที่นำไปใกล้ชิดมัน ปิดกั้นในสิ่งที่ก่อให้เกิดความฝ่าฝืน ออกห่างจากฟิตนะฮฺ ปกป้องตนเองจากสิ่งเคลือบแคลงสงสัย ดังนั้นศาสนาและเกียรติของพวกเขาก็จะรอดพ้นจากข้อสงสัย พวกเขาเป็นสิ่งทีชีวิตที่มาจากลูกหลานนบีอาดัม ซึ่งอัลลอฮฺได้ตรัสไว้ความว่า “และโดยแน่นอนเราให้คำมั่นสัญญาแห่อาดัมแต่กาลก่อนแต่เขาได้ลืมมัน และเราไม่พบความมั่นใจอดทนอันใดในตัวเขา” (ฏอฮา / 115)

พวกเขาไม่ใช่บรรดามลาอิกะฮฺผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่บรรดานบีที่รอดพ้นจากความผิด แท้จริงพวกเขาเสมอเหมือนกับลูกหลานนบีอาดัมคนอื่น ๆ ซึ่งย่อมที่จะมีความผิดพลาด แต่ทว่าพวกเขารีบเร่งหนีห่างจากธรณีสูบ และมุ่งหน้าสู่อัลลอฮฺในสภาพที่กลับเนื้อกลับตัว ขออภัยโทษเสมือนบรรดาผู้ที่มีความตักวาอภัยยำเกรง “เมื่อมีคำชี้นำใด ๆ จากชัยฏอนมาประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็สำนึกได้ และทันใดนั้นพวกเขาก็มองเห็น” (อัลอะอฺรอฟ / 210) พวกเขารำลึกถึงสัญญาของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขา “โอ้ลูกหลานอาดัมเอ๋ย พวกเจ้าอย่าได้เคารพบูชาชัยฏอนมารร้าย แท้จริงมันเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเจ้า และพวกเจ้าจงเคารพภักดีต่อฉัน นี่คือแนวทางที่เที่ยงตรง” (ยาซีน / 60-61) รำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขา และพันธะสัญญาที่พวกเขามีต่อพระองค์เมื่อพวกเขากล่าวว่า “เราได้ยินแล้ว และเราได้ปฏิบัติแล้ว” (อันนูร / 51) รำลึกถึงพันธะสัญญาของอัลลอฮฺในครั้งอดีต และการเฝ้าติดตามของพระองค์ในปัจจุบัน รวมทั้งการสอบาวนของพระองค์ในอาคีเราะฮฺ ดังนั้นพวกเขาจะมองเห็นสิ่งที่ซ่อนเร้น เมื่อวันหนึ่งร่างกายต้องพ่ายแพ้จิตวิญญาณ พลังศาสนาต้องอ่อนแอต่ออำนาจของอารมณ์ พวกเขาจะไม่ยอมจำนนต่อชัยฏอนและพลพรรคของมันอย่างเด็ดขาด หากทว่าพวกเขาจะกล่าวอย่างที่บรรพบุรุษของเขา อาดัมและเฮาวาอฺเคยกล่าว “โอ้พระผู้อภิบาลของเรา เราได้อธรรมต่อตัวเราเอง และหากพระองค์ไม่ทรงอภัยโทษให้แก่เรา และไม่ทรงเอ็นดูเรา เมตตาเราแล้ว แน่นอนเราต้องตกอยู่ในหมู่ผู้ที่ขาดทุน” (อัลอะรอฟ / 23) นี่คือคุณลักษณะของพวกเขา แท้จริงพวกเขา “เมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วใด ๆ หรืออยุติธรรมแก่ตัวเองแล้วพวกเขาก็รำลึกถึงอัลลอฮฺ แล้วขออภัยโทษต่อความผิดต่าง ๆ ของพวกเขา และใครเล่าที่จะอภัยโทษต่อความผิดทั้งหลายให้ได้นอกจากอัลลอฮฺ ณ พวกเขาไม่ได้ดื้อรั้น ปฏิบัติในสิ่งที่พวกเขาเคยปฏิบัติมา โดยที่พวกเขารู้กันอยู่” (อาละอิมรอน / 135)

พวกเขาจะพิจารณาใคร่ครวญ และชุกูรต่อความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่ประทานมาให้แก่พวกเขาอย่างมากมายเหลือคณานับ พระองค์คือผู้ที่ร่ำรวยยิ่ง ณ ที่พวกเขา พวกเขาจะไม่นำเสนอการงานที่บกพร่องหรือการละเมิดของพวกเขาต่ออัลลอฮฺ เพราะพวกเขาคือบรรดาผู้ที่ยากจนยิ่ง ณ ที่อัลลอฮฺ ดังนั้นพวกเขาจะสำนึกตนอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเขาบกพร่องต่อสิทธิที่พึงมีต่อพระองค์ ตระหนักถึงหน้าที่ของพวกเขาที่พึงมีต่อพระองค์ ดังนั้นพวกเขาจึงขอพวกในสิ่งที่ซุลนูน-นบียูนุสวิงวอนขอในขณะที่อยู่ในความมืดบอดสนิทว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่เที่ยงแท้นอกจากพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์เป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้อธรรมทั้งหลาย” (อัลอัมบิยาอฺ/87) ลิ้นของพวกเขาจะเปียกชุ่มอยู่เสมอด้วยกับการพร่ำวอนขออภัยโทษต่อพระองค์และกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลาในการที่จะกลับตัวเข้าหาพระองค์ จะร้องขอดุอาอฺด้วยกับบทดุอาอฺเดียวกันกับที่บรรดาผู้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญร้องขอ “โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดทรงอภัยโทษแก่เรา แท้จริงเราได้ยินผู้ประกาศเชิญชวนผู้หนึ่งกำลังประกาศเชิญชวนให้มีการศรัทธา ว่า ท่านทั้งหลายจงศรัทธาต่อพระองค์ของพวกเจ้าเถิด และพวกเราก็ศรัทธากัน โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดทรงอภัยโทษให้แก่เรา จากโทษทั้งหลายของพวกเรา และโปรดลบล้างความผิดบาปให้พ้นจากพวกเราและโปรดให้เราสิ้นชีวิตโดยอยู่ร่วมกับบรรดาคนดี ๆ ทั้งหลายด้วยเถิด” (อาละอิมรอน / 193)

Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).