Loading

 

การรับมรดกของสตรี

การรับมรดกของสตรี

 

ศาสนาอิสลามให้เกียรติต่อสตรีเสมอ และได้มอบสิทธิทางมรดกแก่นางตามสภาพความเหมาะสมของนางดังต่อไปนี้

1.     

บางครั้ง นางจะรับส่วนแบ่งมรดกเท่ากับส่วนแบ่งของผู้ชาย เช่นในกรณีของพี่น้องชายหญิงร่วมมารดาเมื่อพวกเขารวมกันรับมรดก พวกเขาจะได้ส่วนแบ่งอย่างเท่าเทียมกัน

2.     

บางครั้งนางจะได้รับส่วนแบ่งมรดกเท่ากับชายหรือน้อยกว่า เช่นในกรณีของแม่ที่รับมรดกร่วมกับพ่อ หากทั้งสองมีบุตรชายหลายคน หรือมีทั้งบุตรชายและบุตรหญิงหลายคน โดยทั้งแม่และพ่อจะได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในหกส่วนของมรดก แต่ถ้าทั้งสองมีเพียงบุตรหญิงหลายคน แม่ก็จะได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในหกส่วนของมรดก ส่วนพ่อจะได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในหกส่วนของมรดกและส่วนแบ่งที่เหลือในกรณีที่ไม่มีอะเศาะบะฮฺ

3.     

และบางครั้งนางจะได้รับส่วนแบ่งมรดกครึ่งหนึ่งของจำนวนมรดกที่ผู้ชายได้รับ นี่คือส่วนแบ่งมรดกที่นางจะได้เป็นส่วนใหญ่

สรุปคือ สตรีจะได้รับสิทธิครึ่งหนึ่งของผู้ชายในห้ากรณี คือ การรับมรดก การเป็นพยาน (โดยที่พยานของผู้ชายหนึ่งคนจะมีน้ำหนักเท่ากับพยานของผู้หญิงสองคน) การทำอะกีเกาะฮฺ (โดยที่การทำอะกีเกาะฮฺสำหรับทารกหญิงแรกเกิดจะใช้สัตว์เชือด (แพะ) เพียงตัวเดียว ในขณะที่ทารกชายต้องใช้สัตว์เชือดถึงสองตัว) การจ่ายค่าสินไหมชดเชย และค่าปล่อยทาส

 

เหตุผลที่อิสลามกำหนดให้ผู้ชายได้รับมรดกมากกว่าผู้หญิง

เหตุผลเพราะอิสลามกำหนดให้ผู้ชายต้องแบกรับภาระทางการเงิน ในสิ่งที่ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องแบกรับ เช่น ค่าสินสอด ที่พักอาศัย ค่าเลี้ยงดูของภรรยาและบุตร และสินไหมแทนญาติที่ก่อคดีอาญาต่อผู้อื่น (อากิละฮฺ) ในส่วนของผู้หญิง นางไม่ต้องแบกภาระด้านการเลี้ยงดู ทั้งต่อตัวนางเองและต่อบุตรของนาง

ดังนั้น การที่อิสลามได้ปลดภาระด้านค่าใช้จ่ายต่างๆออกจากนางดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยทิ้งภาระ(ที่หนักหน่วง)เหล่านั้นให้ผู้ชายแบกรับไว้ จึงเท่ากับว่าอิสลามได้ให้เกียรติต่อนางแล้ว

ขณะเดียวกันอิสลามยังได้กำหนดส่วนแบ่งมรดกจำนวนครึ่งหนึ่งของส่วนแบ่งที่ผู้ชายพึงได้รับ ดังนั้นทรัพย์สินของนางจึงมีแต่จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ทรัพย์สินของผู้ชายมีแต่จะลดลง เพราะต้องรับภาระด้านค่าใช้จ่าย ทั้งต่อตัวเอง ภรรยา และบุตร นี่แหละคือความยุติธรรมและจิตสำนึกระหว่างเพศทั้งสอง และ (แน่นอนว่า) พระผู้อภิบาลของท่านย่อมไม่ทารุณต่อปวงบ่าวของพระองค์แม้แต่น้อย และอัลลอฮฺทรงรอบรู้และทรงปรีชายิ่ง

อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ٱلرِّجَالُ قَوَّٰمُونَ عَلَى ٱلنِّسَآءِ بِمَا فَضَّلَ ٱللَّهُ بَعۡضَهُمۡ عَلَىٰ بَعۡضٖ وَبِمَآ أَنفَقُواْ مِنۡ أَمۡوَٰلِهِمۡۚ﴾ [النساء: ٣٤] 

ความว่า: “บรรดาผู้ชายนั้นเป็นผู้รับผิดชอบเลี้ยงดูบรรดาผู้หญิงด้วยปัจจัยที่อัลลอฮฺทรงให้บางกลุ่มเหนือกว่าบางกลุ่ม และด้วยเหตุผลที่พวกเขาต้องนำทรัพย์สินของพวกเขาไปใช้จ่าย (เพื่อเลี้ยงดูพวกนาง)” (อัน-นิสาอ์ : 34)

 

อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿۞إِنَّ ٱللَّهَ يَأۡمُرُ بِٱلۡعَدۡلِ وَٱلۡإِحۡسَٰنِ وَإِيتَآيِٕ ذِي ٱلۡقُرۡبَىٰ وَيَنۡهَىٰ عَنِ ٱلۡفَحۡشَآءِ وَٱلۡمُنكَرِ وَٱلۡبَغۡيِۚ يَعِظُكُمۡ لَعَلَّكُمۡ تَذَكَّرُونَ ٩٠﴾ [النحل: ٩٠] 

ความว่า: “แท้จริงอัลลอฮฺทรงสั่งให้ธำรงความยุติธรรม ทำดี และบริจาคทานแก่ญาติผู้ใกล้ชิด และทรงห้ามจากการทำลามกและการกระทำชั่วช้าและการอธรรม พระองค์ทรงตักเตือนพวกเจ้าเพื่อพวกเจ้าจักได้รำลึก” (อัน-นะห์ลฺ : 90)

 

....................................................................

 

แปลโดย : ซุกรีย์นูร จงรักศักดิ์

ตรวจทานโดย : อุษมาน อิดรีส

คัดลอกจาก : http://IslamHouse.com/371194

 

 

Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).