Loading

 

คำนิยมโดย ดร. มุฮัมมัด ยูซุฟ มูซา

การติดต่อเชื่อมโยงระหว่างฟากฟ้าเบื้องบนกับโลกหล้าเพื่อปฏิบัติภารกิจแห่งสาสน์หนึ่งของเอกองค์อัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงสุด ที่ถูกส่งมายังปวงบ่าวผู้ต้องการทางนำและการชี้แนะจากพระองค์ นับเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่สำคัญยิ่ง และเป็นสิ่งเหนือกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติทั่วไปที่รูปแบบมักถูกกำหนดไว้อย่างแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากในภาวะคับขันหรือเพื่อเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญที่สุดตามความประสงค์ของพระเจ้าผู้ทรงพลานุภาพและทรงรอบรู้ยิ่งเท่านั้น เพราะปรากฏการณ์ใด ๆ ในโลกนี้ จะไม่เกิดขึ้น เว้นแต่มีสาเหตุที่มาที่ไปและมีเป้าหมายที่ซ่อนเร้นอยู่เสมอ


การปรากฏขึ้นของอิสลามก็เฉกเช่นเดียวกัน นับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดที่โลกเคยประสบพบเห็น ซึ่งย่อมมีสาเหตุอันชัดเจน และเป้าหมายที่ถูกกำหนดอยู่อย่างแน่นอน


ความจริง เราไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงสาเหตุใด ๆ สำหรับการกำเนิดของอิสลามแม้แต่น้อย เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าโลกในขณะนั้นได้สูญเสียอัตลักษณ์ของสังคมที่มีคุณธรรมและศาสนาอันถูกต้องไปเสียหมดสิ้น และคงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเป้าหมายการมีมาของอิสลาม ตลอดถึงภารกิจของนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และบรรดาบรรพชนมุสลิมในยุคแรกที่ต่างมุ่งมั่นใฝ่สัมฤทธิ์ ซึ่งได้ทำให้โลกได้พบกับความสุขสันต์อย่างยาวนานมาแล้ว ทุกอย่างนั้นย่อมเป็นที่ทราบดี ฉะนั้นการกล่าวถึงเรื่องนี้จึงถือเป็นการขุดคุ้ยเรื่องเดิม ๆ ก็ว่าได้ และสำหรับข้าพเจ้าแล้ว คงไม่มีคำกล่าวใดที่รู้สึกมีความสุขยิ่งเหมือนเช่นคำกล่าวที่ข้าพเจ้าจะเขียนไว้เพื่อเป็นคำนิยมให้กับหนังสือเล่มนี้ ทั้งนี้เพื่อตอบรับคำร้องขอของผู้เขียน คือท่านอุซตาดซัยยิด อะบู อัลหะซัน อาลี อัล-นัดวีย์ บุคคลผู้ถือเป็นนักเผยแผ่อิสลามระดับแนวหน้าท่านหนึ่งในยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้


ความจริงแล้ว หนังสือเล่มนี้แทบไม่ต้องมีคำนิยมใด ๆ อีก เพราะเป็นหนังสือที่ได้รับตอบรับอย่างดียิ่งจากบรรดาผู้อ่าน และได้รับเกียรติพิเศษชนิดที่ไม่มีหนังสือเกี่ยวกับอิสลามเล่มใดในยุคปัจจุบันทำได้ แต่เพราะความนอบน้อมและสุภาพอ่อนโยนของผู้เขียนผู้เปี่ยมในศรัทธา จึงขอให้ข้าพเจ้าเขียนคำนิยมนี้ให้ ข้าพเจ้าใคร่กล่าวว่า ได้อ่านหนังสือนี้ตั้งแต่พิมพ์ออกมาครั้งแรกจบทั้งเล่มแค่ไม่ถึงหนึ่งวัน รู้สึกประทับใจอย่างที่สุดถึงกับเขียนโน้ตไว้ในท้ายเล่มตอนอ่านจบว่า “แท้จริง การอ่านหนังสือเล่มนี้ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคนซึ่งทำงานเพื่อกอบกู้เกียรติภูมิของอิสลาม” ทั้งหมดเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะรู้จักกับผู้เขียนเสียอีก ต่อมา เมื่อมีโอกาสได้รู้จักและพูดคุยกับท่านหลายครั้ง ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่าทำไมข้าพเจ้าจึงประทับใจหนังสือเล่มนี้ และทราบถึงความเข้าใจอิสลามอย่างถ่องแท้ของผู้เขียน การใช้ชีวิตอยู่กับอิสลาม และบริสุทธิ์ใจต่อการเผยแผ่อิสลามที่ถูกต้องของท่าน


ท่านอะบู อัลหะซันได้ถ่ายทอดถึงความโศกเศร้าอาดูรและความปวดร้าวที่เราท่านทั้งหลายต่างรู้สึกอยู่ นั่นคือการที่ประเทศมุสลิมทั้งหลายต่างพร้อมใจกันเดินตามก้นโลกตะวันตก คล้อยตามทุกอย่าง พร้อมรับเอาระบบต่าง ๆ ที่พวกเหล่านั้นเสนอมาใช้ปกครองประเทศ พอใจกับมาตรฐานตามค่านิยมที่พวกเขากำหนด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะชาวอาหรับ (รวมทั้งมุสลิมโดยรวม) ขาดความศรัทธาเชื่อมั่นต่อตัวเอง ชาติพันธุ์ ศาสนา และบรรทัดฐานของตนเอง และต่อมาตรฐานอันสูงส่งที่บรรดาบรรพบุรุษและวีรชนของพวกเขาต่างเคยปกป้องรักษา และใช้นำพาจนทำให้พวกเขาเคยทะยานสู่ตำแหน่งอันสูงส่งมาแล้วในอดีต นี่คือสาเหตุที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะสิ่งดังกล่าวคือรากเหง้าแห่งปัญหาของเรา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือสารพันปัญหาที่เรากำลังสาละวนหาหนทางแก้ไขให้สำเร็จนั้น ล้วนแล้วแต่มีอยู่ในแก่นสารของศาสนา ประวัติศาสตร์ และมรดกทั้งด้านจิตวิญญาณและด้านปัญญาอันมั่นคงของเราทั้งสิ้น และทั้งหมดนี้เองคือสิ่งที่ผู้เขียนหนังสือ “โลกสูญเสียอะไรจากความตกต่ำของประชาชาติมุสลิม” หมายถึงและได้ทุ่มเทชีวิตทั้งหมด และใช้ความวิริยะอุตสาหะอย่างเต็มที่


ความจริงแล้ว ปัญหาของโลกมุสลิมปัจจุบัน มิใช่เพราะขาดการเผยแผ่อิสลามสู่ชนต่างศาสนิก มิใช่เพราะคนเข้ารับนับถือศาสนามีจำนวนน้อย แต่ปัญหาเพราะมุสลิมเองหันเหจากคำสอนของอิสลาม ออกจากตะวันออกไปสู่ตะวันตกด้วยอารยธรรม มาตรฐานที่ตะวันตกได้โฆษณาและบรรทัดฐานที่พวกเขาสร้างขึ้น ต่อมาเราจึงกลายเป็นมุสลิมที่เหลือเพียงแต่ชื่อในสำมะโนครัวและภูมิลำเนาเท่านั้น เราไม่เคยนำพาอิสลามมาปฏิบัติ กระทั่งเราไม่ทราบศาสนา วัฒนธรรมของตนเองที่พึงยึดถือปฏิบัติในทุกวันนี้ เราคงไม่จำเป็นยกตัวอย่างใด ๆ อีกกับสิ่งที่เราท่านทั้งหลายต่างรับทราบและรู้เห็นกันอยู่ถึงพฤติกรรมของบรรดาผู้นำประเทศ และตัวแทนของประเทศมุสลิมที่ไปประจำอยู่ทั้งในตะวันออกและตะวันตก และบุคคลทั้งหลายที่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีในฐานะผู้มีตำแหน่งหน้าที่ทางโลกทั้งในประเทศอียิปต์ และประเทศอื่น - กิจการทั้งหลายนั้นย่อมเป็นสิทธิแห่งอัลลอฮฺ ทั้งในตอนแรกและตอนสุดท้าย


พระเจ้าทรงประทานอิสลามมาเป็นดั่งสาสน์สุดท้ายของพระองค์สำหรับชาวโลก เราจึงไม่จำเป็นต้องรอคอยความสัมพันธ์ระหว่างฟากฟ้ากับโลกหล้าครั้งใหม่เพื่อชำระภาคี(ชิริก) ความหลงผิด และความเสื่อมเสียใด ๆอีกครั้ง ไม่ต้องรอคอยศาสนทูตท่านใดอีกนอกจากศาสนทูตแห่งอิสลาม (คือมุฮัมมัด) ผู้ซึ่งได้ปลดปล่อยโลกออกจากความมืดมนสู่แสงสว่างด้วยสาสน์ฉบับใหม่ ไม่ต้องรอคอยคัมภีร์อัลกุรอานเล่มใหม่เพื่อชี้นำมนุษยชาติผู้งงงวยสู่หนทางแห่งความถูกต้องและความสันติสุข แต่ทว่าอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอได้ทรงประทานเอาไว้แก่เราแล้วซึ่งคัมภีร์เล่มหนึ่ง (อัลกุรอาน)ใครก็ตามที่ยึดมั่นคัมภีร์เล่มนี้ เขาจะไม่มีวันหลงทางเป็นอันขาด และทรงมอบกฎหมายหนึ่งไว้ (คือชะรีอะฮฺอิสลาม)ใครก็ตามที่ปฏิบัติตาม เขาก็จะไม่ประสบเคราะห์กรรมใด ๆ อีก


ประการเดียวที่เราต้องทำเพื่อปลดปล่อยโลกทั้งหมดออกจากความเป็นญาฮิลียะฮฺ(ความโง่เขลาต่อสัจธรรม)ที่ครอบคลุมไปทั่วทุกด้าน นั่นคือการเรียกความเชื่อมั่นที่มีต่อศาสนากลับคืนมาให้เป็นรากฐานสำคัญของชีวิตในทุกส่วน หาใช่เพียงเรียกร้องให้คนอื่นศรัทธา แต่ตัวเราเองยังเพิกเฉย เพราะการศรัทธานี้จะมีผลอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อ เราสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีงามแก่มนุษย์ทั้งหลายเท่านั้น


โลกในภาวะปัจจุบันที่เราสัมผัสมาก็คือโลกตามทัศนะของยุโรป ที่มักยึดเอาความล้มเหลวทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศมุสลิมมาเป็นตัวตัดสินชี้วัดว่า อิสลามไม่เหมาะที่จะเป็นระบบการปกครองมุสลิมด้วยกันเองหรือปกครองโลกได้ ทั้ง ๆ ที่โลกคริสเตียนเองครั้งหนึ่งในอดีตสมัยที่ชาวมุสลิมยังเป็นมุสลิมที่แท้จริงทั้งในด้านหลักศรัทธา (อะกีดะฮฺ) และการปฏิบัติ พวกเขาก็ยังเคยสั่นคลอนในความเป็นคริสเตียนของตน เพราะได้ประจักษ์ถึงชัยชนะอันเบ็ดเสร็จของฝ่ายมุสลิมในครั้งนั้น พวกเขาเชื่อว่า ชัยชนะของชาวมุสลิมเป็นหลักฐานชัดเจนที่บ่งบอกถึงอิสลามเป็นศาสนาที่สัจจริง เพราะพระเจ้าย่อมทรงประทานชัยชนะให้แก่ปวงบ่าวที่ถูกเลือกสรรเท่านั้น


ที่เราพูดมานี้ มิใช่เพราะเข้าข้างในความเป็นมุสลิมโดยปราศจากหลักฐานหรือสิ่งยืนยันทางประวัติแต่อย่างใด ดังตัวอย่าง โธมัส อาร์โนลด์(Thomas Arnold ) ผู้เขียนหนังสือ “การเรียกร้องสู่อิสลาม (The Preaching Of Islam )” เองยังกล่าวถึงไว้ว่า “สิ่งที่ปรากฏจากบุคคลิกนิสัยของท่านศอลาฮุดดีน และชีวิตที่เพียบพร้อมสำหรับการเป็นวีรบุรุษ ได้สร้างความประทับใจอย่างน่าพิศวงแก่ความคิดของชนชาวคริสเตียนในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก กระทั่งนักรบคนหนึ่งจากกองทัพคริสเตียนทีเลื่อมใสต่อท่านอย่างมากจนยอมละทิ้งศาสนาคริสต์ของตัวเอง เข้าสมทบอยู่กับฝ่ายมุสลิม เช่นกันได้เกิดเหตุการณ์หนึ่งเมื่อนักรบชาวอังกฤษที่รู้จักในนาม โรเบิร์ต แห่งนักบวชแอลบานส์ (Robert of St.Albans)ได้ประกาศรับอิสลามในปี ค.ศ. 1185 ต่อมาได้แต่งงานกับหลานสาวคนหนึ่งของท่านศอลาฮุดดีน 2 ปีหลังจากนั้น ศอลาฮุดดีนก็ทำสงครามกับปาเลสไตน์และสามารถเอาชนะเหนือกองทัพคริสเตียนอย่างราบคาบในสมรภูมิหิฏฏีน (Battle of Hattin) ซึ่งพระเจ้าคาย กษัตริย์แห่งลูซิยอง ( Guy of Lusignan) แห่งเมืองเยรูซาเล็มทรงถูกจับรวมในกลุ่มเชลยทั้งหลายนั้นด้วย ตกตอนเย็นของสมรภูมิปรากฏว่า นักรบจำนวน 6 คนตัดสินใจยอมผละออกจากกษัตริย์ แล้วหนีเข้าไปสมทบอยู่ในกองทัพของศอลาฮุดดีนด้วยความสมัครใจ”


เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมากมายจนมิอาจนับจำนวนครั้งได้ ซึ่งมีบันทึกไว้เต็มหน้าตำราประวัติศาสตร์ทั้งเก่าและใหม่ ทำให้เราทราบถึงอิทธิพลของแบบอย่างอันดีงามที่มีต่อจิตใจมนุษย์ แม้กระทั่งต่อจิตใจของผู้คนที่มิใช่มุสลิมซึ่งเราอาจเคยมองว่าเป็นคู่อริหรือศัตรู ทำให้เราทราบถึงสาเหตุที่ทำให้กองทัพมุสลิมสามารถพิชิตเมืองต่าง ๆ อย่างง่ายดาย พร้อมชัยชนะที่พวกเขาได้มาด้วยเกียรติภูมิ


แท้จริงอิสลามที่สามารถพัฒนาเปลี่ยนแปลงปัจจุบันได้ ก็คืออิสลามที่เคยสามารถพัฒนาเปลี่ยนแปลงอดีตมาแล้ว ด้วยความเชื่อมั่นที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของผู้ศรัทธา ยอมสละพลีชีวิต ทรัพย์สินและทุกอย่างที่ตนรักเพื่อแนวทางนี้ ภาคภูมิใจในบทบัญญัติ หลักธรรม คำสอนต่าง ๆ ที่อิสลามนำมาซึ่งมีความเหมาะสมและมีศักยภาพพอสำหรับการฟื้นฟูและพัฒนาโลก รวมทั้งคำเรียกร้องที่ประกาศเชิญชวนไปสู่การสร้างคุณงามความดี และพลังแห่งธรรมะ ไม่ตัดสินด้วยกฎหมายอื่นใดนอกจากกฎหมายที่บัญญัติในอิสลาม และไม่ดำรงชีวิตอยู่บนหลักการใด ๆ นอกจากหลักการอิสลามเท่านั้น


หากเราต้องการสถานภาพแห่งการเป็นผู้นำมนุษยชาติกลับคืนมา เราจำเป็นต้องเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นที่มีผลจริง ๆ ต่อทุกสิ่งที่เราพูดและทุกสิ่งที่กระทำเสียก่อน เราต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่ท่านมุฮัมมัด อิกบาลได้ให้ทัศนะเอาไว้ว่า


“มุสลิมมิได้ถูกกำเนิดมาเพียงเพื่อปกป้องการรุกรานของพวกมองโกล หรือดำเนินไปในทิศทางใดก็ได้ตามที่มวลมนุษย์ทั้งหลายหันสู่หรือดำเนินไป ทว่าเขาถูกกำเนิดมาเพื่อกำหนดทิศทางแก่โลก พัฒนาสังคมและสร้างความเจริญ ที่มนุษย์ทั้งหลายต้องปฏิบัติตามและดำเนินไปตามความประสงค์ของพวกเขา เพราะมุสลิมคือเจ้าของสาสน์ เจ้าของแห่งองค์ความรู้และความศรัทธาเชื่อมั่น เพราะเขาคือผู้รับผิดชอบในการกำหนดทิศทางโลก และผู้กุมชะตากรรมของมัน ตำแหน่งของเขาจึงมิใช่ลูกน้องหรือผู้ตาม แต่ตำแหน่งของเขาคือหัวหน้า ผู้นำผู้มีหน้าที่สั่งสอนชี้นำ หน้าที่ในฐานะผู้ออกบัญญัติการสั่งใช้และสั่งห้าม ยามใดที่กาลเวลาไม่เป็นใจให้และสังคมก็แสดงอาการขัดขืน หรือเบี่ยงเบนออกจากความดีงาม เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมจำนน อ่อนข้อ หรือทิ้งภาระความรับผิดชอบนั้นไป แล้วปล่อยทุกอย่างไปตามยถากรรม แต่เขาต้องลุกขึ้นปฏิรูป ยืนหยัดต่อสู้ อย่างไม่ย่อท้อบนหลักการดังกล่าวจนกว่าอัลลอฮฺ จะทรงตัดสินชี้ขาดและประทานความสำเร็จให้


การยอมแพ้ และยอมจำนนต่อสภาพอันบีบบังคับ และสถานการณ์อันเลวร้าย ตลอดถึงการกล่าวโทษโยนความผิดว่าเป็นการลิขิตจากพระเจ้า(กอฏอ-กอดัร) นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคุณสมบัติของผู้อ่อนแอและคนทุพลภาพ สำหรับผู้ศรัทธา(มุอ์มิน)ที่แท้จริงแล้ว เขามีความเชื่อมั่นว่า ตัวเขาเองนั้น แหล่ะคือการบันดาลชัยชนะของพระเจ้า และเป็นการลิขิตอันแน่นอนที่ไม่มีวันหักล้างกันได้”


หลังจากที่ข้าพเจ้าเขียนคำนิยมที่ค่อนข้างจะยืดยาว ข้าพเจ้ายังไม่ทราบว่าจะเขียนถ้อยคำอันใดอีกที่เหมาะสมกับหนังสือเล่มนี้และคู่ควรกับผู้แต่งซึ่งไม่มีความจำเป็นใด ๆ สำหรับคำนิยมอีก ตามที่ข้าพเจ้าได้เรียนมาตั้งแต่ต้น


อัลลอฮฺ เท่านั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ เท่าที่ได้อ่านหนังสือมา ข้าพเจ้ายังไม่เคยพบหนังสือเล่มใด ทั้งในอดีตและปัจจุบันที่บรรจุความดีงามด้านเนื้อหาเหมือนหนังสือเล่มนี้อีกแล้ว ไม่มีตำราเล่มใดที่นำเสนอวิธีการเยียวยารักษาโรคร้ายที่เรากำลังประสบอยู่ได้ดีเท่าตำราเล่มนี้ และไม่มีหนังสือเล่มใดที่ผู้เขียนได้อุทิศตนในการซึมซับวิญญาณแห่งอิสลาม พร้อมกับเผยแผ่อิสลามด้วยความบริสุทธิ์ใจ ตลอดจนทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อยืนหยัดบนหนทางอิสลามเสมือนที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้อีกแล้ว


ด้วยเหตุนี้ เราจำเป็นต้องใช้ประโยชน์กับหนังสือเล่มนี้อย่างสุดกำลัง เราจำเป็นต้องประยุกต์ใช้แนวทางและดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่ผู้เขียนได้เสนอไว้ ทั้งนี้เพื่อให้เราสามารถบรรลุถึงความเจริญตามที่ได้หวังไว้ และทวงคืนเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรีและความสูงส่ง ทั้งโลกนี้และโลกอาคิเราะฮฺ วิธีการเดียวที่เราต้องทำก็คือ ปฏิรูประบบการศึกษา ทั้งในส่วนหลักสูตรและวัตถุประสงค์หลัก ระบบการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับการอบรมสั่งสอนอนุชนรุ่นใหม่ตามครรลองอิสลาม โดยการกำหนดวัตถุประสงค์หลักของการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาโลกมุสลิมให้สามารถยกระดับขึ้นทัดเทียมกับนานาประเทศ เราจำเป็นต้องทำงานเพื่อการนี้อย่างจริงจัง และเชื่อมั่นว่านี่คือมาตรการและแนวทางที่มีประสิทธิภาพและถูกต้องที่สุด


หากเราสามารถทำสิ่งนี้ให้ปรากฏในโลกแห่งความเป็นจริง และหากอัลลอฮฺ ทรงประสงค์ให้ประชาชาติมุสลิมตื่นจากการหลับใหล และลุกขึ้นจากวังวนแห่งความถดถอยแล้ว อัลลอฮฺ ทรงทำให้นักเรียนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนบนวัตถุประสงค์หลักดังกล่าว ได้กลายเป็นบุรุษที่เป็นความหวังของอิสลามในอนาคต พวกเขาพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุดในทุกครั้งที่มีโอกาสและได้รับความไว้วางใจ พวกเขาคือผู้กล้าหาญและมีความซื่อสัตย์ต่อศาสนาและประชาชาติของพวกเขา ไม่มีความกังวลใด ๆ ทั้งสิ้นในจิตใจพวกเขา ยกเว้นมุ่งมั่นทำงานเพื่อความสูงส่งของอิสลามและโลกมุสลิม


หากเรามีความมุ่งมั่นและจริงจังในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายอันถูกต้องแล้ว เราย่อมพบกับแนวทางและมาตรการอันมากมาย แต่ข้าพเจ้าขออนุญาตนำเสนอในตอนท้ายนี้ด้วยคำพูดบางตอนของซัยยิด อะบู อัลหะซัน อัล- นัดวีย์ ที่ได้กล่าวว่า

“ คัมภีร์อัลกุรอานและชีวประวัติของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือพลังอันยิ่งใหญ่ที่สามารถสร้างจุดประกายแห่งความฮึกเหิมและศรัทธาขึ้นแก่โลกมุสลิม ซึ่งได้กล่าวถึงการปฏิวัติระบบญาฮิลียะฮฺในทุกเวลา ทั้งอัลกุรอานและชีวประวัติของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะสร้างแรงจูงใจประชาชาติที่ครั้งหนึ่งในอดีต ยอมจำนน อ่อนข้อและอ่อนแอ กลับกลายเป็นประชาติของเยาวชนคนหนุ่มสาว ซึ่งมีใจฮึกเหิม มีจิตที่หึงหวงต่ออิสลาม มีจุดยืนที่ชิงชังต่อญาฮิลียะฮฺ และระบบต่าง ๆ อันไร้ศักยภาพ พึงทราบว่า ความจริงแล้ว หนึ่งในโรคร้ายของโลกมุสลิมในปัจจุบันก็คือ ความรู้สึกพึงพอใจและหลงระเริงกับชีวิตบนโลกนี้ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อสภาพความเสื่อมเสียต่าง ๆ ที่ปรากฏ ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างสุรุ่ยสุร่าย ไม่รู้สึกวิตกกังวลกับความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นรอบตัว ไม่รู้สึกปวดร้าวกับความเสียหาย และเย็นชากับสิ่งชั่วช้า ไม่เคยใส่ใจต่อสิ่งใดนอกจากปัญหาปากท้องและเครื่องแต่งกายของตนเองเท่านั้น ”


“ทว่าด้วยอิทธิพลของอัล-กุรอาน และชีวประวัติของท่านนบี ได้ทำให้เกิดความรู้สึกประการหนึ่งขึ้นในจิตใจ เกิดการต่อสู้ระหว่างอีมาน(ความศรัทธามั่น) และนิฟาก(การกลับกลอก) ความเชื่อมั่นและความสับสนโลเล ระหว่างผลประโยชน์ชั่วแล่นกับสถานพำนักที่ถาวรในวันปรโลก(วันอาคิเราะฮฺ) ระหว่างการพักผ่อนทางร่างกายและความสุขทางจิตใจ และระหว่างการมีชีวิตอยู่อย่างผู้ชนะกับการตายเยี่ยงวีรชน(ชะฮีด) เป็นสงครามที่นบีทุกคนได้ประกาศไว้ในยุคสมัยของตน ดังนั้นด้วยสิ่งนี้เท่านั้น ที่สามารถจรรโลงโลกได้ เมื่อนั้นในทุกส่วนของโลกมุสลิม และในทุกครัวเรือนมุสลิมก็จะเกิดขึ้นมาซึ่งลักษณะบุคคลดั่งในโองการความว่า


“...แท้จริงพวกเขาเป็นชายหนุ่มที่ศรัทธามั่นต่อพระเจ้าของพวกเขา และเราได้เพิ่มทางนำที่ถูกต้องให้แก่พวกเขา”


“เราได้ได้ให้ความเข้มแข็งแก่หัวใจของพวกเขา ขณะที่พวกเขายืนประกาศว่าพระเจ้าของเราคือพระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน เราจะวิงวอนพระเจ้าอื่นจากพระองค์ มิเช่นนั้นเราก็กล่าวเกินความจริงอย่างแน่นอน” (บทอัล-กะฮฺฟี , 18 : 13 – 14 )


“เมื่อนั้นกลิ่นไอของสรวงสวรรค์ก็จะแพร่กระจายไปทั่ว ลมหายใจของศตวรรษแรก ๆ ก็จะพัดโบกกลับมา โลกใหม่ที่ไม่เหมือนเก่าในเรื่องใดๆ เลยก็จะกำหนดคลอดออกมาให้แก่อิสลาม”


จากถ้อยคำต่าง ๆ ที่เราได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือที่ข้าพเจ้ากำลังเขียนคำนิยมให้อยู่นี้ ทำให้เราพบกับจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่ผู้เขียนได้อุตส่าห์เหนื่อยล้าบรรจงเขียนเอาไว้อย่างครบถ้วนแล้ว ...ขออัลลอฮฺ ทรงให้สิ่งเหล่านั้นและทุกสิ่งที่พึงเกิดขึ้นตามมาอำนวยประโยชน์อย่างอเนกอนันต์ ขอพระองค์ทรงตอบแทนแก่ผู้เขียนด้วยรางวัลอันดีงามแทนอิสลามและประชาชาติ (อุมมะฮฺ) นี้ด้วยเถิด-

- ดร.มุฮัมมัด ยูซุฟ มูซา -

Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).