Loading

 

คำนิยมโดย ซัยยิด กุฏบ์

สิ่งที่เป็นความต้องการสูงสุดของประชาชาติมุสลิมในภาวะปัจจุบันคือต้องการบุคคลที่สามารถเรียกคืนความเชื่อมั่นต่อตนเอง และทำให้พวกเขารู้สึกวางใจและภูมิใจในอดีต พร้อมปลุกความหวังอันเต็มเปี่ยมต่ออนาคตข้างหน้า ต้องการผู้เชิญชวนพวกเขาให้เกิดความศรัทธาอย่างลึกซึ้งต่อศาสนาที่นับถืออยู่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว พวกเขายังคงสับสนและไม่เข้าถึงแก่นสารของศาสนา เพราะพวกเขาเป็นเพียงมุสลิมด้วยการสืบทอดทางทายาทมากกว่าด้วยการศึกษาเข้าใจอิสลามอย่างแท้จริง

หนังสือ “โลกสูญเสียอะไรจากความตกต่ำของประชาชาติมุสลิม” เขียนโดยท่านซัยยิด อะบู อัลหะซัน อาลี อัล-นัดวีย์ นับเป็นหนังสือทรงคุณค่าที่สุดที่ศึกษาวิเคราะห์ประเด็นดังกล่าว เท่าที่ข้าพเจ้าเคยอ่านมานับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

อิสลามเป็นหลักความเชื่อหรืออะกีดะฮฺที่นำพาซึ่งความสูงส่ง ส่วนหนึ่งที่เป็นอัตลักษณ์ของศาสนานี้ คือสามารถปลูกฝังความรู้สึกภูมิใจที่มิใช่หยิ่งยโสขึ้นในจิตวิญญาณผู้ศรัทธา วิญญาณของความเชื่อมั่นที่ไม่ประมาทเลินเล่อ และความรู้สึกสงบใจที่ไม่เผอเรอ เป็นคำสอนที่สามารถปลูกฝังให้เกิดจิตสำนึกต่อพันธกิจอันพึงปฏิบัติต่อมนุษยชาติ นั่นคือหน้าที่แห่งการกำชับสั่งเสียมนุษย์ทั้งหลายบนโลกนี้ทั้งด้านตะวันออกและตะวันตก หน้าที่แห่งการนำกลุ่มชนต่าง ๆ ในโลกที่กำลังหลงระหน พร้อมชี้นำพวกเขาสู่ศาสนาอันมั่นคงและหนทางอันเที่ยงตรง เป็นศาสนาที่สามารถปลดปล่อยพวกเขาออกจากความมืดมนสู่แสงสว่างที่อัลลอฮฺทรงประทานมาพร้อมอาทิตย์อุทัยแห่งทางนำและสิ่งชี้ขาดระหว่างสัจธรรมและความมดเท็จ
“พวกท่านทั้งหลายคือประชาชาติที่ดีเลิศ ที่ถูกอุบัติขึ้นมาเพื่อมนุษยชาติทั้งหลาย โดยพวกท่านกำชับใช้ในสิ่งที่ชอบ(คุณธรรม) และหักห้ามจากสิ่งที่มิชอบ(ความชั่วช้า)ทั้งหลาย และพวกท่านมีความศรัทธาเชื่อมั่นต่ออัลลอฮฺ...” (บทอาลิอิมรอน , 3 : 110 )
“และทำนองนั้น เรา(อัลลอฮฺ)ได้ทำให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติมัชฌิมา(สายกลาง) เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นประจักษ์พยานแก่มนุษยชาติทั้งหลาย และท่านเราะซูล(คือมุฮัมมัด)เป็นประจักษ์พยานแก่พวกเจ้า” (บท อัล-บะเกาะเราะฮฺ, 2 : 143)
หนังสือในมือข้าพเจ้านี้ สามารถปลุกเร้าความหมายทั้งหมดนี้ในจิตสำนึกของผู้อ่าน และทำให้ความเข้าใจในอัตลักษณ์ของอิสลามกลับฟื้นคืนชีพในก้นบึ้งของหัวใจได้ หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงให้ความสำคัญต่อการปลุกจิตสำนึก หรือสร้างความรู้สึกภูมิใจในศาสนาเท่านั้น ทว่าเป็นบทวิเคราะห์อันสุขุมและอุดมด้วยเหตุผล การนำเสนอของหนังสือเล่มนี้จึงเป็นทั้งภาคทฤษฏี ความรู้สึก สติปัญญาและจิตสำนึกที่ผสมผสานอย่างกลมกลืน เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และสถานการณ์ปัจจุบันอย่างเที่ยงธรรมและเป็นที่ประจักษ์ วิเคราะห์เจาะลึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่นำเสนออย่างครบถ้วนตามความจริงที่ปรากฏและมีเหตุมีผลยิ่ง ทำให้ประเด็นทั้งหมด ได้รับการนำเสนออย่างมีระบบทั้งในการอธิบายเรื่องราวและการสอดแทรกเนื้อหา ปราศจากการเสแสร้ง หรือเบี่ยงเบน ใด ๆ ทั้งในบทนำหรือบทสรุป นี่คือคุณสมบัติพิเศษประการแรกของหนังสือเล่มนี้


ช่วงเริ่มต้น หนังสือนี้ได้วาดภาพอย่างคร่าว ๆ แต่ชัดเจนมากถึงภาพ เล็ก ๆ ภาพหนึ่งของโลกก่อนที่แสงอันแจ่มจรัสของอิสลามจะทอแสงเรืองรองขึ้นมาในตอนแรก เป็นการฉายภาพของโลกทั้งในตะวันออก ตะวันตก เหนือและใต้ นับตั้งแต่อินเดีย จีน จรดถึงเปอร์เซียและโรมัน ทั้งด้านสังคมและด้านจิตใจในโลกที่ปรากฏ ในบริบทของสังคมที่ผู้คนทั้งหลายนับถืออยู่ภายใต้ร่มเงาและอิทธิพลของบรรดาศาสนาแห่งฟากฟ้าเช่นศาสนายูดายและคริสต์ ตลอดถึงสังคมที่อยู่ภายใต้ลัทธิศาสนาบูชาเจว็ดต่าง ๆ เช่นฮินดู พุทธและโซโรเอสเตอร์ เป็นต้น


เป็นหนังสือที่อธิบายภาพรวม ที่ผู้เขียนพยายามเสนอให้เห็นแง่มุม ต่าง ๆ ของโลก พร้อมอธิบายอย่างชัดเจนโดยปราศจากการบิดเบือนและอารมณ์อคติ แต่ได้อาศัยอ้างอิงทัศนะของบรรดานักวิจัย นักประวัติศาสตร์ทั้งหลายนับจากอดีตและร่วมสมัยซึ่งส่วนหนึ่งเป็นชนต่างศาสนิกรวมอยู่ด้วย จึงปราศจากซึ่งข้อครหาที่อาจส่อว่าเอื้อประโยชน์ใด ๆ ต่อทั้งตัวผู้เขียนเองโดยตรง และต่อช่วงเวลาที่เป็นไปในโลกครั้งอดีต


ผู้เขียนได้วาดภาพของโลกที่กำลังถูกครอบงำโดยวิญญาณของ “ญาฮิลียะฮฺ” หรือวิถีชีวิตที่เบี่ยงเบนจากสัจธรรม จนทำให้จิตใจและวิญญาณของโลกต้องเน่าเหม็นไป ค่านิยมและตัวชี้วัดต่าง ๆ ของมันต้องบิดเบี้ยว ถูกครอบงำด้วยอำนาจอธรรมและการตกเป็นทาส ถูกพัดเหวี่ยงไปตามกระแสของความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยอันเลวทราม และการลิดรอนที่ชั่วร้าย ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันแห่งการปฏิเสธพระเจ้า ความหลงผิดและมืดมน แม้นมีศาสนายูดายหรือคริสต์อยู่ในสมัยนั้น แต่ทั้งหมดล้วนตกอยู่ในสภาพถูกบิดเบือนและอ่อนแอเต็มที จนมิอาจมีอิทธิพลเหนือจิตใจผู้คนได้อีกต่อไป ศาสนาได้กลายสภาพไม่ต่างอะไรกับวัตถุธาตุ ที่ไร้ชีวิตและวิญญาณ โดยเฉพาะศาสนาคริสต์


หลังจากฉายภาพด้าน “ญาฮิลียะฮฺ” ของโลกผ่านไป ผู้เขียนได้นำเสนอบทบาทของอิสลามที่มีต่อชีวิตมนุษยชาติ บทบาทแห่งการปลดปล่อยจิตวิญญาณของพวกเขาจากจินตนาการที่ผิด ๆ และความคร่ำครึ จากความเป็นทาส และขี้ข้า ความเสื่อมทรามฟอนเฟะ ความสกปรกโสมม และไร้ศีลธรรม บทบาทแห่งการปลดปล่อยสังคมมนุษย์จากอำนาจของความอธรรมและทรราช จากความแตกแยก ล่มสลาย การวางมนุษย์บนขั้นบันไดทางสังคม การกดขี่ของนักเผด็จการ และการหลอกลวงของพวกพ่อมดหมอผี ผู้เขียนได้นำเสนอบทบาทของอิสลามต่อการรังสรรค์สังคมโลกบนรากฐานของความมีศีลธรรม บริสุทธิ์ มีทัศนคติเชิงบวก มีความคิดสร้างสรรค์ เสรีภาพและการพัฒนาเปลี่ยนแปลง บนรากฐานของการศึกษา ความเชื่อมั่นไว้ใจ ความศรัทธา ความยุติธรรมและเกียรติยศ และบนรากฐานการทำงานอย่างมุ่งมั่นใฝ่สัมฤทธิ์เพื่อการพัฒนาและความเจริญงอกงามของชีวิต พร้อมหยิบยื่นสิทธิต่าง ๆ ในชีวิตแก่ผู้พึงได้รับ


ทั้งหมดนั้น ได้เกิดขึ้นแล้ว ณ ห้วงเวลาที่อำนาจเคยตกเป็นของอิสลามในทุกแห่งหน หรือห้วงเวลาที่อิสลามสามารถเข้าไปมีบทบาทได้ เพราะอิสลามย่อมมิอาจแสดงบทบาทใด ๆ อย่างเต็มที่ได้ นอกจากในยามที่มีอำนาจอยู่ในมือเท่านั้น เนื่องจากธรรมชาติของอิสลามนั้น เป็นหลักความเชื่อ(อะกีดะฮฺ) ที่นำไปสู่ความสูงส่ง เป็นระบบการปกครองที่ต้องอาศัยทักษะการนำ และเป็นบทบัญญัติที่เรียกร้องผู้คนให้สร้างนวตกรรมใหม่ ๆ มิใช่สักแต่คล้อยตามอย่างปิดหูปิตา


ต่อมา หนังสือเล่มนี้ได้พูดถึงยุคสมัยที่อิสลามสูญเสียอำนาจไป เนื่องความตกต่ำของประชาชาติมุสลิมเอง จนทำให้บทบาทการเป็นผู้นำที่ศาสนานี้ได้เคยมอบหมายให้ต้องสูญสิ้น ภารกิจต่าง ๆ อันพึงมีต่อมนุษยชาติได้หลุดลอยไป และความรับผิดชอบในทุกมิติของชีวิต ก็อันตรธานหายไป
ณ ที่นี้ ผู้เขียนได้แจกแจงสาธยายถึงสาเหตุความตกต่ำทั้งด้านจิตวิญญาณและด้านวัตถุ อธิบายถึงสภาพที่ประชาชาติมุสลิมประสบเมื่อพวกเขาไร้อุดมการณ์ทางศาสนา ผละตัวจากพันธกิจที่พึงรับผิดชอบ ตลอดถึงสิ่ง ต่าง ๆ ที่โลกโดยรวมต้องประสบเมื่อมุสลิมสูญเสียอำนาจแห่งการเป็นผู้นำอันเที่ยงธรรมไป โลกมีอาการทรุดหนักจนต้องกลับคืนสู่สภาพ “ญาฮิลียะฮฺ” อันดั้งเดิมอีกครั้ง ผู้เขียนยังวาดให้เห็นถึงเส้นกราฟแห่งความตกต่ำอย่างน่ากลัว ที่มนุษยชาติกำลังติดหลุมพรางอยู่ แม้นในห้วงเวลาที่วิทยาการและศาสตร์ความรู้ด้านต่าง ๆ มีความก้าวหน้าและได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างกว้างขวางก็ตาม ท่านวาดเส้นกราฟดังกล่าวโดยอาศัยการศึกษาวิเคราะห์ที่ละเอียดยิ่ง มิใช่เป็นการด่วนสรุปหรืออธิบายอย่างผิวเผิน แต่ข้อเท็จจริงที่ผู้เขียนนำเสนอนั้น ล้วนเป็นที่ประจักษ์โดยชัดเจนทั้งสิ้น


ในเนื้อหาที่นำเสนอ ท่านผู้อ่านสามารถสัมผัสได้ถึงความจำเป็นที่มนุษยชาติต้องเปลี่ยนแปลง “อำนาจแห่งการนำ” เสียใหม่ และนำกลับคืนสู่อิสลามอันเป็นทางนำเดียวที่สามารถทอแสงเรืองรองขึ้นมาเพื่อปลดปล่อยมนุษย์ออกจากความมืดมนสู่แสงสว่าง จากความเป็นญาฮิลียะฮฺสู่ความรู้แจ้ง แล้วผู้อ่านจะรู้สึกได้ถึงคุณค่าอันบริบูรณ์ของการมีอยู่ของอำนาจดังกล่าวในโลก และรู้สึกได้ว่า เป็นความสูญเสียอันมหาศาลเพียงใดที่โลกทั้งหลายต้องประสบนับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ตลอดถึงอนาคตอันใกล้และไกลอีกด้วย ซึ่งแน่นอนที่สุด ผลกระทบของความสูญเสียดังกล่าวนั้น มิใช่จำกัดเพียงแต่ในแวดวงสังคมมุสลิมเท่านั้น


มุสลิมทุกคนซึ่งอ่านหนังสือเล่มนี้ ย่อมรู้สึกเศร้าโศกเสียใจต่อความบกพร่องของตนเองในอดีต แต่ในขณะเดียวกัน ก็สามารถปลุกเร้าวิญญาณแห่งความรู้สึกเป็นเกียรติต่อสิ่งที่ได้รับ และวิญญาณแห่งความมุ่งมั่นใฝ่หาภาวะการนำที่สูญเสียไป


ประการหนึ่งที่สังเกตพบคือ บ่อยครั้งผู้เขียนอธิบายสภาพความเสื่อมทรามที่ปกคลุมมนุษยชาติไว้นับตั้งแต่มุสลิมไม่อาจรักษา “อำนาจแห่งการนำ” ไว้ได้ว่าเป็น “ญาฮิลียะฮฺ” ซึ่งเป็นการอธิบายที่ชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของผู้เขียนต่อเส้นแบ่งอันดั้งเดิมระหว่างวิญญาณของอิสลามกับวิญญาณแบบวัตถุนิยมที่เคยปกครองโลกไว้ก่อนหน้านี้ และมันได้กลับมาปกครองโลกอีกในปัจจุบัน หลังจากอิสลามต้องสูญเสียอำนาจไป มันคือ “ญาฮิลียะฮฺ” ตามธรรมชาติอันดั้งเดิม เพราะ ญาฮิลียะฮฺมิได้หมายถึงเฉพาะช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ทว่ามันคือธรรมชาติหนึ่งทางจิตวิญญาณ และความคิด เป็นธรรมชาติที่ปรากฏขึ้นเพียงเพื่อทำลายให้ค่านิยมพื้นฐานของชีวิตมนุษยชาติที่พระเจ้าทรงประสงค์ต้องสูญหายไป เพื่อแทนที่ด้วยค่านิยมอื่นที่ใฝ่ตัณหาอารมณ์ชั่วแล่น และนี่คือสิ่งที่กำลังประสบอยู่ในสังคมมนุษย์ปัจจุบัน ที่บรรลุถึงขั้นสูงสุดของความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ดั่งที่เคยเป็นมาแล้วในยุคป่าเถื่อนครั้งอดีต ฉันใดฉันนั้น


พันธกิจของประชาชาติมุสลิม จึงหมายถึงการเรียกร้องเชิญชวนสู่พระผู้เป็นเจ้า ศานทูตของพระองค์และการเชื่อมั่นต่อวันปรโลก(วันอาคิเราะฮฺ) ขณะที่รางวัลก็คือสามารถหลุดพ้นจากความมืดมนต่าง ๆ สู่แสงสว่าง จากการบูชากราบไหว้มนุษย์ด้วยกัน สู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ พระเจ้าที่เที่ยงแท้องค์เดียว จากความคับแคบของโลกสู่ความกว้างขวางของมัน จากความชั่วร้ายของลัทธิศาสนาต่าง ๆ สู่ความยุติธรรมของอิสลาม ความดีงามของสาสน์นี้จึงเป็นที่ประจักษ์ชัด และสามารถเข้าใจได้โดยง่ายในยุคสมัยนี้ยิ่งกว่ายุคไหน ๆ เสียอีก ในขณะที่ความเป็นญาฮิลียะฮฺต้องถูกประจาน เพราะความชั่วช้าของมันปรากฏขึ้นแล้วในสังคม และนับวันผู้คนทั้งหลายต่างก็เอือมระอามันอย่างสุดทน นี้คือปรากฏการณ์ที่ส่งสัญญาณว่า โลกกำลังจะหลุดพ้นจากอำนาจของ ญาฮิลียะฮฺสู่อำนาจของอิสลามอีกครั้ง หากโลกมุสลิมตื่นตัวหรือพัฒนา และปกปักษ์รักษาสาสน์นี้เอาไว้อย่างบริสุทธิ์ใจ จริงจัง และมุ่งมั่น พร้อมยึดถือมันเยี่ยง “สาสน์เดียวที่สามารถช่วยเหลือโลกให้รอดพ้นจากความหายนะและความวิบัติได้” ดังที่ผู้เขียนกล่าวเอาไว้ตอนท้ายของหนังสือ


และสุดท้าย จุดเด่นของหนังสือนี้ทั้งหมดยังแสดงถึงความเข้าใจอันลึกซึ้งต่อองค์รวมของวิญญาณอิสลามในบริบทอันครอบคลุม ด้วยประการดังกล่าว หนังสือเล่มนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นแบบอย่างหนึ่งของงานวิจัยทางศาสนศาสตร์และสังคมศาสตร์ หากในมุมมองของอิสลามแล้ว ยังเป็นต้นแบบของประวัติศาสตร์ที่พึงถูกเขียนขึ้นเลยทีเดียว


ขณะที่ชาวยุโรปเขียนประวัติศาสตร์ไว้จากมุมมองของตะวันตก โดยอาศัยร่องรอยของวัฒนธรรมแบบวัตถุนิยม และปรัชญาแบบวัตถุนิยม อาศัยร่องรอยของความนิยมต่อตะวันตก และความคลั่งไคล้ต่อศาสนาของตนเอง (ทั้งนี้โดยรู้สึกตัวหรือไม่ก็ตาม) ด้วยเหตุดังกล่าวประวัติศาสตร์ของพวกเขาจึงอุดมไปด้วยความผิดพลาดและแฝงด้วยสิ่งบิดเบือนมากมาย เนื่องจากมองข้ามคุณค่าอื่นๆในชีวิตอีกมากมายไป เพราะหากปราศจากสิ่งเหล่านี้ประวัติศาสตร์ของชีวิตย่อมมิอาจสมบูรณ์ขึ้นได้ การอธิบายเหตุการณ์หรือผลลัพธ์ต่าง ๆ ก็จะผิดเพี้ยนและถูกบิดเบือนไป ด้วยความรู้สึกชาตินิยม ทำให้พวกเขามองยุโรปเป็นดั่งแกนหลักหรือศูนย์กลางของโลกอยู่ตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน ก็หลงลืมปัจจัยอื่น ๆ ที่เคยมีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์ หรือมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปเพียงเพราะมันมิได้มาจากชาวยุโรปเช่นพวกตน


เราค่อย ๆรับเอาประวัติศาสตร์ไปจากยุโรปทีละนิดทีละน้อย เช่นเดียวกับที่ได้รับเอาสิ่งอื่น ๆ มาก่อนหน้านี้ พร้อมกันนั้นยังรับเอาความผิดพลาดของพวกเขาติดไปด้วย นั่นคือความผิดพลาดในแนวทางเนื่องจากมองข้ามคุณค่าและปัจจัยต่าง ๆ และความผิดพลาดในมโนทัศน์เนื่องจากการมองเพียงด้านหนึ่งของชีวิต ความผิดพลาดในผลลัพธ์จึงเกิดขึ้นตามมาเนื่องมุมมองและทัศนคติที่ผิดพลาดข้างต้น


หนังสือเล่มนี้จึงเป็นแบบอย่างหนึ่งอันดียิ่งสำหรับการบันทึกประวัติศาสตร์ที่ผนวกรวมประเด็นศึกษาวิเคราะห์สิ่งทั้งหลาย มีการพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้านและให้ความสำคัญกับคุณค่าอันหลากหลายที่มีอยู่ บางทีท่านผู้อ่านไม่มีความจำเป็นใด ๆ (หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ - ผู้แปล)ที่จะไปคาดหวังหรือรอคอยจากมุสลิมคนใดคนหนึ่งซึ่งเชื่อมั่นต่อวิญญาณอิสลามอันเข้มแข็ง และพยายามกอบกู้อำนาจของอิสลามกลับคืนมา เพื่อให้เขาอธิบายถึงคุณสมบัติต่าง ๆ ของการเป็นผู้นำ เพราะหนังสือเล่มนี้ได้อธิบายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับกระบวนการสร้างความพร้อมด้านจิตวิญญาณควบคู่กับการสร้างความพร้อมด้านอุตสาหกรรมและสงคราม อธิบายเรื่องการจัดระบบองค์ความรู้และวิทยาการสมัยใหม่ พร้อมกับการเป็นเอกราชทางการค้าและการเงิน


หนังสือเล่มนี้จึงเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ ของชีวิตที่ครอบคลุมและรอบด้าน และบนพื้นฐานนั้น ผู้เขียนได้เริ่มบันทึกประวัติศาสตร์เคียงคู่กับให้ข้อเสนอแนะแก่ประชาชาติมุสลิม ด้วยเหตุดังกล่าว หนังสือเล่มนี้จึงเป็นต้นแบบงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่มุสลิมทุกคนต้องอ่านโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยงานเขียนตามแนวของชาวตะวันตก ซึ่งมักขาดมุมมองที่สมบูรณ์ แฝงด้วยความรู้สึกอคติ และขาดการศึกษาวิเคราะห์อย่างถูกต้อง


ข้าพเจ้ารู้สึกยินดียิ่งที่ได้กล่าวถึงความรู้สึกดังกล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ และได้ร่วมบันทึกในเหตุการณ์ด้วย ข้าพเจ้าโชคดีมากที่มีโอกาสอ่านมันในต้นฉบับภาษาอาหรับ อันเป็นภาษาที่ผู้เขียนภูมิใจในการนำเสนอและภูมิใจให้มีการพิมพ์เผยแพร่ในประเทศอียิปต์เป็นครั้งที่ 2
“แท้จริงในประการดังกล่าว ย่อมเป็นข้อเตือนสติที่ดียิ่งสำหรับบุคคลผู้มีจิตใจ หรือรับฟัง และพร้อมเป็นประจักษ์พยาน”

- ซัยยิด กุฏบ์ -

Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).